Tokyo: พาเที่ยวย่าน Kichijoji (คิจิโจจิ) และบริเวณใกล้เคียง

Loading

6 Things to Do in Kichijoji, Tokyo

6 กิจกรรมที่ควรทำเมื่อไป คิจิโจจิ, โตเกียว

หลังจาก วางแผนเที่ยวแลนด์มาร์คในโตเกียวครบหมดแล้ว ถ้ายังมีวันเหลือ และกำลังถามหาความชิลล์ขั้นสุดอยู่ล่ะก็ รีวิวนี้ช่วยคุณได้แน่นอนครับ เพราะวาฬจะมาแนะนำ ให้ทุกคนได้รู้จักกับ “ย่านคิจิโจจิ” (Kichijoji) แหล่งพักผ่อนยอดฮิตในวันสบาย ๆ ของคนญี่ปุ่นแท้ ๆ ซึ่งบอกได้เลยว่า ที่นี่มีครบทุกอย่าง สำหรับทุกไลฟ์สไตล์จริง ๆ สามารถเดินเที่ยวได้ตลอดทั้งวัน แถมยังนั่งรถไฟต่อมาจากสถานีหลักอย่าง ชิบุยะ (Shibuya) หรือชินจูกุ (Shinjuku) ได้โดยสะดวกมาก ๆ อีกด้วยครับ

ย่านคิจิโจจิ ตั้งอยู่ใน เมืองมุซะชิโนะ (Musashino) ฝั่งทะมะ (Tama) หรือ โตเกียวฝั่งตะวันตก ย่านคิจิโจจิ เป็นชุมชนยอดฮิตของคนญี่ปุ่น ที่เหมาะสำหรับการหลีกหนีความวุ่นวายมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ด้วยขนาดพื้นที่กำลังดี สามารถเดินเที่ยวได้ทั่วถึง และบรรยากาศที่น่ารัก จากความเป็นกันเองของผู้คน ทำให้ คิจิโจจิ ได้รับการยอมรับว่าเป็น หนึ่งในย่านที่น่าอยู่ และมีเสน่ห์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียวนั่นเองครับ

สำหรับใครที่เริ่มสนใจ และอยากรู้แล้วว่า เมื่อมาเที่ยวย่านคิจิโจจิ จะต้องไปที่ไหน และทำอะไรบ้าง วันนี้วาฬได้รวบรวม 6 กิจกรรม ที่ควรทำมากที่สุดในคิจิโจจิ มาเสิร์ฟให้กับทุกคนถึงที่ รับรองได้เลยว่า ครอบคลุมทุกโจทย์ของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะสำหรับสายชิลล์อย่างแน่นอนครับผม

กิจกรรมที่ควรทำเมื่อไป คิจิโจจิ มีดังต่อไปนี้ฮะ

1. ช้อปสินค้าสุดครีเอทรอบสถานีคิจิโจจิ
2. ปั่นเรือหงส์ที่สวนอิโนะกะชิระ
3. ท่องไปในโลกแห่งจินตนาการที่พิพิธภัณฑ์จิบลิ
4. พบปะน้องแมวที่คาเฟ่แมว เทะมาริ โนะ โอะชิโระ
5. เยี่ยมชมสวนสัตว์อิโนะกะชิระ
6. ตระเวนกินของอร่อยประจำย่านคิจิโจจิ

การเดินทาง: โดยรถไฟ ลงสถานี Kichijoji


1.ช้อปสินค้าสุดครีเอทรอบสถานีคิจิโจจิ

ถ้ากำลังมองหาแหล่งช้อปปิ้งที่มีครบทุกอย่าง แต่ก็ไม่อยากเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมาก ย่านคิจิโจจิ คือคำตอบที่ดีอย่างแน่นอนครับ โดยเริ่มตั้งแต่ ตัวสถานีคิจิโจจิ (JR Kichijoji Station) ที่รวบรวมร้านค้าแบรนด์ดังไว้มากมาย แบบครบในที่เดียว จากนั้น มาต่อกันที่ ตรอกฮาโมนิก้า (Harmonica Yokocho) ซึ่งนอกจากจะมีร้านค้าทั่วไปแล้ว ยังเป็นโซนกินดื่มยอดฮิตในยามค่ำคืนอีกด้วย 

ไม่ไกลจากกันมากนัก จะเห็นถนนช้อปปิ้งแบบมีหลังคาที่เรียกกันว่า ซันโร้ด (Sunroad) บริเวณนี้ จะเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกหลากหลายชนิดให้เลือกซื้อกัน ถัดมาหน่อย คือ ถนนนาคามิจิ (Nakamichi) ซึ่งถือเป็นไฮไลท์สำคัญของการช้อปในย่านคิจิโจจิเลยฮะ (เดินมุ่งหน้าไปทางห้าง Parco ตัวถนนจะอยู่ซอยข้าง ๆ ตึก Uniqlo) เพราะถนนเส้นนี้เป็นแหล่งรวม ร้านขายของกระจุกกระจิก ของแต่งบ้าน และของทำมือดีไซน์สุดครีเอท ที่หาไม่ได้จากที่อื่น ตัวสินค้า และการตกแต่งร้าน น่ารักมาก ๆ แค่เดินดูเฉย ๆ ก็ฟินแล้วครับ

เวลาเปิดปิดร้านค้าส่วนใหญ่ : 10.00 – 20.00


2.ปั่นเรือหงส์ที่สวนอิโนะคะชิระ

สวนอิโนะคะชิระ (Inokashira-Koen) เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่ขนาดใหญ่ ที่ครอบคลุมพื้นที่ระหว่าง เมืองมุซะชิโนะ (Musashino) และ เมืองมิตากะ (Mitaka) ตรงกลางของสวน มีสระน้ำที่รายล้อมไปด้วยซากุระกว่า 250 ต้น ทำให้ในฤดูใบไม้ผลิ สวนแห่งนี้จึงกลายเป็นจุดชมซากุระที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียวนั่นเองครับ 

แต่ใครที่มาเที่ยวไม่ตรงกับช่วงซากุระก็ไม่ต้องเสียใจไปนะครับ ยังไงการเช่าเรือหงส์มาปั่นชิลล์ ๆ โดยเฉพาะในวันที่ท้องฟ้าสดใส ก็ยังเป็นกิจกรรมที่คุ้มค่าและได้รับความนิยมอยู่เสมอ เพราะสวนอิโนะคะชิระนั้น มีความสวยงามแตกต่างกันไปในทุกฤดูอย่างแน่นอนครับผม

อีกหนึ่งเสน่ห์ของสวนสาธารณะแห่งนี้ ก็คือ สตรีทโชว์ และ ตลาดนัดศิลปะ น่ารัก ๆ ตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่น ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งจะมีกระจายตัวอยู่ทั่วไปภายในสวนเลยครับ เราจะได้เห็นวิถีชีวิตในวันสบาย ๆ ของครอบครัวชาวญี่ปุ่นในมุมที่อบอุ่นมาก ๆ เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกเพลิดเพลิน และผ่อนคลายได้เป็นอย่างดีเลยฮะ

เวลาเปิดปิดสวน: ตลอดเวลา
เวลาเปิดปิดที่เช่าเรือหงส์: 10.00 -17.50
พิกัด: https://goo.gl/maps/BwkJo5rT7zL2
การเดินทาง: ลงสถานี Kichijoji ออกทางออก Park Exit 
ราคาเช่าเรือหงส์: 30 นาที 700 เยน


3.ท่องไปในดินแดนแห่งจินตนาการที่พิพิธภัณฑ์จิบลิ

พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวจากภาพยนตร์อะนิเมะ (Anime) ของสตูดิโอจิบลิ ซึ่งก่อตั้งโดย ฮะยะโอะ มิยะซะกิ (Miyazaki Hayao) ศิลปินเจ้าของผลงานชิ้นสำคัญจำนวนมากประจำสตูดิโอแห่งนี้ พิพิธภัณฑ์จิบลิแตกต่างออกไปจากพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ เพราะผู้สร้างตั้งใจให้มีลักษณะคล้ายเขาวงกต หรือสนามเด็กเล่นมากกว่า ดังนั้นภายในจึงไม่มีป้ายกำกับเส้นทาง หรือลำดับการเข้าชมก่อนหลัง ทำให้ทุกคนได้รับประสบการณ์เสมือนหลุดเข้าไปหลงอยู่ในโลกของจิบลิจริง ๆ

จุดที่เป็นไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์จิบลิ วาฬขอยกมาซัก 3 อย่าง ที่

วาฬชอบมากที่สุดก็แล้วกันนะครับ 1. “โรงภาพยนตร์ดาวเสาร์” (Saturn Theater) ที่จะฉายอะนิเมะขนาดสั้น ซึ่งทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับที่นี่เท่านั้น จึงพิเศษมาก ๆ เพราะไม่สามารถหาชมได้จากที่อื่นอย่างแน่นอนครับ (ชั้น 1) 2.ห้องจำลองการทำงานของสตูดิโอจิบลิ และโต๊ะทำงานของ ฮะยะโอะ มิยะซะกิ (ชั้น 2) และ 3.สวนขนาดเล็กบนชั้นดาดฟ้า ซึ่งจะมี “ทหารหุ่นยนต์เหล็ก” จากเรื่อง “Laputa: Castle in the Sky” มายืนรอต้อนรับทุกคนอยู่ด้วย 

วาฬขอให้รายละเอียดสักเล็กน้อยสำหรับใครที่ไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของจิบลินะครับ “สตูดิโอจิบลิ” เป็นผู้ผลิตอะนิเมะที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในเชิงวัฒนธรรมต่อสังคมญี่ปุ่น มีผลงานอันโด่งดังและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อย่าง “My Neighbor Totoro” (2531) ที่สร้างให้ ตัวละครโทโทโระ (Totoro) กลายมาเป็นที่รักของเด็ก ๆ ไปทั่วโลก จนถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของโลโก้จิบลิในเวลาต่อมานั่นเอง

แต่ถ้าจะให้พูดถึงผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจริง ๆ ก็คงตกยกให้ “Spirited Away” (2544) ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ในการประกาศผลรางวัลอแคเดมี (ออสการ์) ครั้งที่ 75 และยังเป็นหนึ่งในภาพยนตร์อะนิเมะที่ทำเงินสูงสุดในญี่ปุ่นอีกด้วย และเช่นเดียวกับ โทโทโระ เลยครับ ตัวละครในเรื่องอย่าง ปีศาจไร้หน้า (Kaonashi) ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนกลายมาเป็นหนึ่งในมาสคอตของสตูดิโอจิบลิ ที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี 

ที่วาฬได้เล่าให้ฟังมานี้ เป็นเพียงแค่ ส่วนหนึ่งของผลงานทั้งหมดเท่านั้น อยากให้ทุกคนได้ลองเข้าไปเยี่ยมชมและทำความรู้จักกับจิบลิให้มากขึ้น ผ่านโลกแห่งจินตนาการที่ถูกจำลองไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กัน วาฬรับรองได้ว่า จะต้องกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม และความประทับใจอย่างแน่นอนครับผม

ป.ล. เนื่องจากส่วนจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ รูปของวาฬเลยมีแต่ด้านนอกเท่านั้นนะครับ

เวลา: 10.00 – 18.00
เวลาเข้าชมแบ่งเป็น 4 รอบ: 10:00, 12:00, 14:00, 16:00 (สามารถเข้าชมได้ตามรอบเวลาที่จองมาเท่านั้น และไม่อนุญาตให้เข้าชมหลังเกินเวลา 30 นาที แต่เมื่อเข้าชมแล้วสามารถอยู่ได้จนถึงเวลาปิด)
พิกัด: https://goo.gl/maps/qfwcod2EMLq
การเดินทาง: ลงสถานี Mitaka ออกทางออก South Exit ไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายหมายเลข 9 แล้วลงที่ป้าย Ghibli Museum 
ค่าเข้า: 1,000 เยน
การจองบัตรเข้าชม: ไม่มีตั๋วจำหน่ายที่หน้าพิพิธภัณฑ์ ต้องซื้อผ่านตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติใน Lawson หรือซื้อผ่าน Lawson Online ที่ http://www.ghibli-museum.jp/en/ticket-information/


4. พบปะน้องแมวที่คาเฟ่แมว เทะมาริ โนะ โอะชิโระ

หากยังคงอินกับบรรยากาศของสตูดิโอจิบลิอยู่ล่ะก็ เพื่อความต่อเนื่องของฟีลลิ่งแล้ว วาฬขอแนะนำให้ไปต่อกันที่ คาเฟ่แมว เทะมาริ โนะ โอะชิโระ (Temari no Oshiro) คาเฟ่แมวแห่งนี้ แตกต่างออกไปจาก คาเฟ่แมวที่มีอยู่มากมาย ทั่วทั้งญี่ปุ่น สิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็คือ สไตล์การตกแต่งร้านที่มาในธีม โลกแฟนตาซี และ เทพนิยาย เวอร์ชั่นเล่นใหญ่ของจริง ซึ่งก็ทำออกมาได้ดูสวยงาม และน่ารักแบบสุด ๆ ไปเลยครับ 

ส่วนน้องแมวของที่นี่ ก็เป็นมิตรดีมาก ๆ นะครับ ยอมให้สัมผัสตัวได้แต่โดยดี โดยเฉพาะ ยิ่งถ้าซื้ออาหารจากทางร้านมาให้ด้วยนะ ความขี้อ้อนจะเพิ่มขึ้น สองเท่าเป็นอย่างน้อยเลยครับ (ที่แท้ก็ เห็นแก่กินนี่เอง 555)

เวลา: 10.00 – 21.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/1RFYUMWg2BT2
ค่าเข้า: 1,200 เยน (วันธรรมดา) / 1,600 เยน (วันเสาร์-อาทิตย์) / 700 เยน (เข้าหลังเวลา 19.00)



5.เยี่ยมชมสวนสัตว์อิโนะคะชิระ

ถ้าพูดถึงสวนสัตว์ในโตเกียวแล้ว ทุกคนคงจะนึกถึงแต่ สวนสัตว์อุเอโนะ (Ueno Zoo) และ อาจไม่รู้มาก่อนเลยว่า จริง ๆ แล้ว ที่คิจิโจจิ ก็ยังมีสวนสัตว์ชื่อดัง ตั้งอยู่อีกแห่งหนึ่งด้วย นั่นก็คือ สวนสัตว์อิโนะคะชิระ (Inokashira Park Zoo) สวนสัตว์ขนาดเล็ก ที่มีสัตว์ไม่มากนัก แต่มีความน่ารักเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ภายในนั้น แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่น และสงบมาก ๆ เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างยิ่งเลยครับ 

สำหรับไฮไลท์ที่วาฬชอบเป็นพิเศษ ก็คือ โซน “ทางเดินกระรอก” (Squirrel Trail) ที่เปิดให้เราเข้าไปเดินดูกระรอกญี่ปุ่น ได้อย่างใกล้ชิด แบบไม่มีรั้วกั้น รับรองว่า ได้ถ่ายรูปกันเพลินจนลืมเวลาแน่ ๆ ครับ 

ป.ล. สวนสัตว์อิโนะคะชิระ มีความสำคัญในฐานะที่เคยเป็นบ้านของ คุณยายช้างฮานาโกะ (Hanako) ทูตสัมพันธไมตรีจากประเทศไทย ที่เพิ่งจากไปอย่างสงบ ในปี 2559 นี้เอง (อายุ 69 ปี) ด้วยนะครับ 

เวลา: 9.00 – 17.00 (หยุดทุกวันจันทร์)
พิกัด: https://goo.gl/maps/EZoJiDX5LS42
การเดินทาง: ลงสถานี Kichijoji ออกทางออก South Exit แล้วเลี้ยวขวาเดินตรงไปจนถึงสี่แยกเลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปเรื่อยขนถึงสวนสัตว์
ค่าเข้า: 400 เยน / 150 เยน (เด็กอายุ 13 -15) / ฟรี (เด็กอายุต่ำกว่า 12)


6.ตระเวนกินของอร่อยประจำย่านคิจิโจจิ

นอกจากคาเฟ่ชิค ๆ จำนวนมาก ที่เห็นได้ทั่วไปในย่านคิจิโจจิแล้ว ชุมชนแห่งนี้ยังมี ของกินอื่น ๆ ที่ต้องห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด และถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของการท่องเที่ยวในแถบนี้อีกด้วย สำหรับในครั้งนี้ วาฬมีมาแนะนำ ให้ทุกคนได้ไปตามรอยตะเวนกินกันถึง 4 ร้านเลยครับ

6.1 ซาโต้ (Satou): มีเมนูชื่อดังแห่งคิจิโจจิ อย่าง “เมนจิคัตสึ” (Menchi-Katsu) หรือ เนื้อบดชุบเกล็ดขนมปังทอด ที่สามารถการันตีความอร่อยได้จาก ความยาวของการต่อคิวเพื่อรอซื้อในทุก ๆ วัน แถมยังเริ่มปักหลักเข้าแถวกัน ตั้งแต่ก่อนที่ร้านจะเปิดเลยทีเดียวครับ 

เวลา: 10.00 – 20.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/Emis4Z5eakk

6.2 อิเซะยะ (Iseya): ร้าน “ยากิโทริ” (Yakitori) หรือ ไก่ย่างเสียบไม้ ที่มีให้เลือกหลายแบบ แถมยังกำหนดได้ด้วยว่า จะปรุงรสด้วยเกลือ หรือซอสของทางร้าน ส่วนตัวแล้ววาฬชอบเกลือมากกว่านะครับ วาฬว่าได้รสชาติของวัตถุดิบแบบเต็ม ๆ ดี อร่อยมากเลยฮะ

เวลา: 12.00 -22.00 (หยุดวันจันทร์)
พิกัด: https://goo.gl/maps/5AdZ9eSZKcL2

6.3 ทะรุทะรุโฮะรุมง (Tarutaruhorumon): ร้านเนื้อย่างเตาถ่าน ที่ใช้เนื้อคุณภาพเยี่ยม นำมาย่างให้สุกกำลังดี (ทางร้านบริการย่างให้ที่โต๊ะครับ) แล้วโปะลงบนข้าวญี่ปุ่นร้อน ๆ ตบท้ายด้วยไข่แดงดิบ เพิ่มความเข้มข้นเข้าไปอีก บอกได้คำเดียวว่า ฟิน! สายเนื้อไม่ควรพลาดอย่างยิ่งฮะ

เวลา: 17.00 – 03.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/uPZJcxF769A2

6.4 แรสเคิล เบเกอรี่ (Rascal Bakery): เบเกอรี่คาเฟ่ สุดน่ารัก ที่มาใน ธีม “แรสเคิล” (Rascal) ตัวละครดังจากซีรีย์ “แรสเคิล เดอะ แรคคูน” เมนูเด็ดที่นอกจากกาแฟ วาฬขอแนะนำเป็น ขนมปังแรสเคิลไส้ธัญพืช และช็อกโกแลต ที่มีทั้งหน้าตา และรสชาติ อันดีงามแบบสุด ๆ ถ้ามาแล้วต้องลองให้ได้เลยฮะ

เวลา: 10.00 – 20.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/tBf8CNF1sC22

นอกจากที่วาฬนำมารีวิวแล้ว ยังมีร้านค้า และสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย รอให้ทุกคนได้ไปสำรวจ และค้นหา กันเอง ที่คิจิโจจิ นะครับ ใครที่ไปมาแล้ว มาเล่าให้วาฬฟังด้วยน้า

Klook.com (function (d, sc, u) { var s = d.createElement(sc), p = d.getElementsByTagName(sc)[0]; s.type = "text/javascript"; s.async = true; s.src = u; p.parentNode.insertBefore(s, p); })( document, "script", "https://affiliate.klook.com/widget/fetch-iframe-init.js" );