397 total views, 3 views today
Izu-Peninsula, Japan (Part 3: Western)
คาบสมุทรอิซุ, ญี่ปุ่น (ตอนที่ 3: ฝั่งตะวันตก)
มาถึงตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของการพาเที่ยวคาบสมุทรอิซุกันแล้ว ดังนั้นก่อนที่จะเริ่ม เรามาทำการทบทวนกันสักนิดครับ ก่อนหน้านี้ ในตอนที่ 1 วาฬได้เริ่มต้นจากฝั่งตะวันออก ซึ่งอยู่ใกล้กับโตเกียวมากที่สุด จากนั้น เราไปต่อกันที่ ตอนที่ 2 ซึ่งวาฬได้พาทุกคนลัดเลาะลงไป จนถึงบริเวณใต้สุดของคาบสมุทรอิซุ เที่ยวจนครบแล้ว จึงค่อยย้อนกลับขึ้นมาเก็บตกในแถบตอนกลางนั่นเอง
เอาล่ะครับ!! สำหรับตอนที่ 3 นี้ เราก็จะมาปิดท้ายกันที่ โซนฝั่งตะวันตก ซึ่งก็จะครบทั่วทั้ง คาบสมุทรอิซุ พอดีครับผม ไฮไลท์ที่สำคัญ คือ การชมภูเขาไฟฟูจิ ในมุมมองที่แปลกใหม่มากยิ่งขึ้นไปอีก โดยโซนนี้ จะประกอบไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในเขต เมืองมิชิมะ (Mishima), เมืองนูมาซุ (Numazu), ตำบลมัตสึซากิ (Matsuzaki), ตำบลนิชิอิซุ (Nishiizu), เมืองอิซุ (Izu) ก่อนที่จะไปจบทริปที่ เมืองชิซูโอกะ (Shizuoka) เมืองเอกของจังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งมีรถไฟชินคันเซนผ่าน ทำให้เราสามารถเดินทางกลับโตเกียวได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้นครับผม
เหมือนกับทุกครั้งครับ ลำดับของสถานที่ จะเป็นไปตามลำดับของรูป เพื่อให้ทุกคนจะได้ไม่งงเส้นทาง สามารถเที่ยวตามกันไปเป็นเมือง ๆ ได้ อย่างไม่สับสน และคำอธิบาย, วิธีการเดินทาง รวมถึงรีวิวของ แต่ละสถานที่นั้น ก็จะอยู่ใต้ภาพเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนสุดท้ายนะครับ ยังไงก็อย่าลืมติดตามวาฬในทริปต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยน้า
จากเมือง อิซุโนะคุนิ (Izunokuni) ในตอนที่แล้ว เราจะใช้รถไฟ (ขึ้นที่สถานี Izu-Nagaoka) เพื่อมายังเมือง มิชิมะ (Mishima) จุดเริ่มต้นของตอนที่ 3 กันนะครับ
เพียงแค่ ลงรถไฟ สถานี JR Mishima ก็จะได้เห็นวิวเมือง และภูเขาไฟฟูจิสวย ๆ แบบนี้แล้ว วาฬขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ ตอนที่ 3 อย่างเป็นทางการคร้าบ
Mishima Taisha, Mishima
ศาลเจ้ามิชิมะ, มิชิมะ
ศาลเจ้าชื่อดังแห่งอิซุ ที่มีความเก่าแก่มากจนผู้บันทึกเหตุการณ์ในแต่ละสมัย ยังไม่อาจทราบได้อย่างแน่ชัดเลยว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ในปัจจุบันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในด้านความเชื่อของผู้คนในจังหวัดชิซูโอกะ และมักจะมาขอพรให้มีโชคลาภในช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ กันอย่างเนืองแน่น อีกหนึ่งไฮไลท์ที่สำคัญคือ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะกลายเป็นจุดชมซากุระ ที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรอิซุเลยทีเดียวครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/HGpLfwGho3r
การเดินทาง: ลงรถไฟสถานี JR Mishima แล้วเดินต่อไปยังศาลเจ้าประมาณ 1 กิโลเมตร 10 นาที
เว็บไซต์: https://www.guidoor.jp/th/place/mishima/mishima-taisha-shrine/
มิชิมะ สกายวอร์ค, มิชิมะ
เริ่มต้นตอนที่ 3 กันที่จุดชมภูเขาไฟฟูจิกันเลยครับ คราวนี้วาฬพามาที่ มิชิมะ สกายวอร์ค สะพานแขวนคนเดินที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น (ยาว 400 เมตร สูง 70.6 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ถือเป็นแหล่งชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ที่เขยิบเข้ามาใกล้มากขึ้นกว่า 2 ตอนที่ผ่านมา ทำให้ในวันที่ท้องฟ้าเปิดเต็มที่ เราจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ แบบเต็มตาและชัดเจนมาก ๆ ครับ นอกจากนี้ ยังสามารถมองเห็น อ่าวซุรุงะ (Suruga) หรือทะลฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิซุ ได้อย่างสวยงามมาก ๆ อีกด้วย (อ่าวแห่งนี้มีร่องน้ำที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่นด้วยนะครับ)
สำหรับใครที่ชอบความหวาดเสียว ที่นี่มี “ซิปไลน์” หรือ การเล่นโหนสลิง ไว้คอยให้บริการด้วยนะครับ ส่วนใครที่มาสายชิลล์ ก็ยังมีคาเฟ่ บรรยากาศดี ๆ เปิดให้นั่งจิบกาแฟ กันไปเพลิน ๆ หรือ ถ้าใครเป็นสายธรรมชาติ ผสมกับสายมูหน่อย ๆ ก็ห้ามพลาดเลย ที่จะหาซื้อเครื่องราง ที่มีเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้แปะติดไว้ ให้เราอธิษฐานขอพร ก่อนที่จะโยนลงไปจากสะพาน เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวต่อไป เรียกได้ว่า ตอบโจทย์ครบทุกแนวจริง ๆ ครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/kYmwS5g9jWU2
การเดินทาง: จากสถานี JR Mishima ให้นั่งรถบัสจากหน้าสถานีที่ป้ายหมายเลข 5 มายังป้าย Mishima Skywalk ประมาณ 25 นาที
เวลา: 9.00 – 17.00
ค่าเข้า: 1,000 เยน
เว็บไซต์: http://mishima-skywalk.jp/pdf/english_pamph_2018.pdf
Love Live! Sunshine!! Locations, Numazu
ตามรอยสถานที่จริงใน เลิฟไลฟ์! ซันไชน์!!, นูมาซุ
เลิฟไลฟ์! ซันไชน์!! เป็นชื่อของอนิเมะ เกี่ยวกับ “สคูลไอดอล” ที่กำลังโด่งดังมาก ๆ ในญี่ปุ่น และเริ่มมีผู้ติดตาม ชาวไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความน่ารักสดใส และความสมจริง ของเหล่าตัวละครเด็กสาวในเรื่อง ได้สร้างกลุ่มแฟนคลับที่เหนียวแน่น ให้อารมณ์ไม่ต่างไปจาก โอตะของ BNK48 ประมาณนั้นเลยครับ และ เลิฟไลฟ์! ซันไชน์!! ได้เลือกใช้ฉากหลัง เป็นเมืองนูมาซุ (Numazu) ทำให้สถานที่ต่าง ๆ ส่วนมาก ซึ่งถูกวาดออกมาเป็นภาพการ์ตูนอย่างวิจิตรสวยงามนั้น จึงล้วนแล้วแต่ มีอยู่จริง และรอคอยให้แฟน ๆ อนิเมะ ได้มาตามรอยกันนั่นเอง
หนึ่งในสถานที่สำคัญ ที่ต้องไปให้ได้เลยก็คือ เกาะอะวะชิมะ (Awashima) เพราะเป็นศูนย์รวมของ โลเคชันเด่น ๆ จากอะนิเมะ ที่ครบมากที่สุดแห่งหนึ่งในนูมาซุ ไม่ว่าจะเป็น บริเวณท่าเรือของเกาะ, อะวะชิมะ มารีน พาร์ค (Awashima Marine Park) หรือ ศาลเจ้าอะวะชิมะ (Awashima Shrine) นั่นเองครับ
แค่ก้าวแรกที่เข้ามาในเมือง เราก็จะได้เห็นรูปของตัวละครและฉากต่าง ๆ ปรากฎอยู่แทบจะทุกที่อยู่แล้ว ทั้ง ในสถานีรถไฟ, ในขบวนรถไฟ, ในรถบัสโดยสาร หรือ ในเรือข้ามฟากก็ตาม ใครที่เป็นแฟนคลับ เลิฟไลฟ์! ซันไชน์!! ต้องลองมาตามรอยกันให้ได้สักครั้งครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน
พิกัด Awashima Marine Park : https://goo.gl/maps/m2fp7urC4uz
การเดินทาง: จากสถานี JR Numazu ขึ้นรถบัสที่ป้ายหมายเลข 8 ปลายทาง Awashima Marine Park
เวลา: 9.30 – 17.00
ค่าเข้า: 1,800 เยน
เว็บไซต์: http://www.marinepark.jp/english/
ศาลเจ้าอะวะชิมะ (Awashima Shrine) อีกหนึ่งโลเคชันของ เลิฟไลฟ์! ซันไชน์!! ที่ต้องมาตามรอยครับ
เรือข้ามฟากไปยังเกาะอะวะชิมะ (Awashima)
อะวะชิมะ มารีน พาร์ค (Awashima Marine Park) ถือเป็นไฮไลท์ของการตามรอย เลิฟไลฟ์! ซันไชน์!! เลยครับ ยังไงก็ห้ามพลาด
Izu-Mito Sea Paradise, Numazu
อิสุ มิโตะ ซีพาราไดซ์, นูมาซุ
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ มีดีที่ เราสามารถมองเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิได้ ขณะกำลังชมการแสดงโชว์โลมาไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้น ในวันที่อากาศแจ่มใส และท้องฟ้าเปิดเต็มที่ วาฬจึงแนะนำมาก ๆ เลยครับ น่าจะเป็นบรรยากาศที่แปลกใหม่ในการดูภูเขาไฟฟูจิสำหรับใครหลาย ๆ คนเลยทีเดียว
พิกัด: https://goo.gl/maps/914Ba87rEfA2
การเดินทาง: ลงสถานี Izu Nagaoka แล้วนั่งรถบัส Izu Hakone ลงป้าย Izu-Mito Sea Paradise
เวลา: 9.00 – 17.00
ค่าเข้า: 1,960 เยน
เว็บไซต์: http://www.izuhakone.co.jp/seapara/
Namako kabe Street, Matsuzaki
ซอยนามาโกะคาเบะโดริ, มัตสึซากิ
เสร็จจากเมืองนูมาซุ (Numazu) วาฬขอพาทุกคนลงมายังใต้สุดของฝั่งตะวันตก เพื่อชมหนึ่งในสัญลักษณ์ของตำบลมัตสึซากิ อย่าง “ซอยนามาโกะคาเบะโดริ” ที่บ้านเรือนตลอดสองข้างทางของถนนนั้น ล้วนตกแต่งผนังและรั้ว ด้วยการติดกระเบื้องเรียงชิดกัน แล้วฉาบปูนปลาสเตอร์ตรงรอยต่อระหว่างกระเบื้อง ให้นูนสูงขึ้น มีลักษณะคล้าย ปลิงทะเล หรือ ที่ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “นามาโกะ” (Namako) ซึ่งเป็นอะไรที่ ดูสวยงาม และแปลกตา แต่ก็เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ กับอาคารทรงย้อนยุคเหล่านี้ เป็นอย่างมากเลยทีเดียวครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/77BTDx3aPXP2
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR ลงสถานี Shuzenji แล้วต่อรถบัส Tokai ปลายทาง Matsuzaki
เว็บไซต์: https://www.guidoor.jp/th/place/matsuzaki/chohachi-art-museum/
Dogashima Cave, Nishiizu
ถ้ำโดงาชิมะ, นิชิอิซุ
ถ้ำโดงาชิมะ ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมทุรอิซุ เราสามารถนั่งเรือเข้าไปชมภายในถ้ำได้ (เรือพาชมรอบ ๆ อ่าว และเข้าไปในถ้ำ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที) โดยมีไฮไลท์คือ ภาพความสวยงามของ จุดที่เพดานถ้ำพังถล่มลงมา จนเกิดเป็นช่องว่าง ให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงไปกระทบกับผิวน้ำ ส่วนภายนอกถ้ำนั้น ยังเป็นบริเวณที่ นักท่องเที่ยวนิยมเดินเล่น เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศของชายฝั่งโดงาชิมะ หรือ จะรอชมพระอาทิตย์ตกดิน ก็เป็นอะไรที่ดีงามไม่น้อยเช่นกันครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/EhHyf8weFwG2
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR ลงสถานี Shuzenji แล้วต่อรถบัส Tokai ปลายทาง Matsuzaki ลงป้าย Dogashima
เวลา: 8.15 – 16.30
ค่านั่งเรือ: เริ่มต้นที่ 1,200 เยน (สำหรับรอบเล็ก)
เว็บไซต์: http://izudougasima-yuransen.com/en/
Ootago Beach, Nishiizu
ชายหาดโอทาโงะ, นิชิอิซุ
ชายหาดโอทาโงะ เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินชื่อดัง และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรอิซุครับ ด้วยแนวโขดหินรูปร่างแปลกตา และเกาะแก่งมากมาย ในบริเวณชายฝั่ง ช่วยส่งเสริมให้ฉากหลังที่เป็นภาพของพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าในยามเย็นนั้น ดูสวยงามตรึงตาตรึงใจมากยิ่งขึ้นไปอีก ลองเช็คเวลาพระอาทิตย์ตกดินในแต่ละฤดูกาลให้ดี หากไม่ไกลจากจุดที่กำลังเที่ยวอยู่ วาฬอยากให้ลองไปชมกันให้ได้เลยครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/KpnAag4pTUK2
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR ลงสถานี Shuzenji แล้วต่อรถบัส Tokai ปลายทาง Matsuzaki ลงป้าย Ootago
เว็บไซต์: https://zekkeijapan.com/spot/index/376/
Koganezaki Cape, Nishiizu
แหลมโคะงาเนะซากิ, นิชิอิซุ
ในคาบสมุทรอิซุฝั่งตะวันตก มีแหลม หรือ ชายหาดสวย ๆ ที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินมากมาย แต่ทั้งนี้ แหลมโคะงาเนะซากิเอง ก็ยังคงมีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร ชวนให้ลองไปสัมผัสกันมาก ๆ นั่นก็คือ หน้าผาที่ยื่นออกไปในทะเล ซึ่งมีรูปร่างคล้ายส่วนหัวของม้าอย่างน่าทึ่ง โดยในวันที่ท้องฟ้าเปิด และแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมาที่หน้าผาพอดี หน้าผาดังกล่าวจะกลายเป็นม้าสีทองอร่าม ที่สวยงามมาก ๆ ครับ
น่าเสียดายมาก ๆ ตอนที่วาฬไป อากาศไม่ค่อยดี เลยอดเก็บภาพม้าสีทองมาฝากทุกคนกันเลย ได้เท่านี้ไปก่อนแล้วกันนะครับ ใครได้ไปมาในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส และเห็นม้าสีทอง อย่าลืมถ่ายรูปมาแชร์ให้วาฬดูด้วยน้า
พิกัด: https://goo.gl/maps/wgw4ReYqjrj
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR ลงสถานี Shuzenji แล้วต่อรถบัส Tokai ปลายทาง Matsuzaki ลงป้าย Koganezaki Crystal Park
เว็บไซต์: https://www.japan.travel/en/spot/1277/
Koibito Misaki (Lover’s Cape), Izu
โคอิบิโตะ มิซากิ (แหลมคู่รัก), อิซุ
ในบรรดา อนุสรณ์แห่งความรัก มากมายในญี่ปุ่น โคอิบิโตะ มิซากิ คือหนึ่งในแหลมคู่รักออริจินอล ที่โด่งดังเป็นอย่างมากในหมู่คนญี่ปุ่นมาช้านาน จนกลายเป็น สถานที่จัดงานแต่งงานยอดฮิต โดยมีสักขีพยานเป็นทิวทัศน์ของภูเขาไฟฟูจิ ที่ปรากฏเป็นฉากหลังอย่างสวยงามอีกด้วย ส่วนนักท่องเที่ยวก็จะนิยมมาสั่นกระดิ่ง (Bell of Love) เพื่อขอพรให้ความรักสมหวังนั่นเองครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/74CahdQejmP2
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR ลงสถานี Shuzenji แล้วต่อรถบัส Tokai ปลายทาง Matsuzaki ลงป้าย Koibito Misaki
เวลา: 9.00 – 17.00
เว็บไซต์: http://koibito.toi-onsen.com
Nishiizu Crystal View Hotel, Nishiizu
นิชิอิซุ คริสตัล วิลล์ โฮเทล, นิชิอิซุ
สำหรับที่พักประจำตอนที่ 3 นี้ วาฬขอแนะนำเป็น นิชิอิซุ คริสตัล วิลล์ โฮเทล เพราะนอกจากจะใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ แล้ว ยังเป็นโรงแรมที่สามารถมองเห็นวิวทะเล และพระอาทิตย์ตกดิน ได้อย่างสวยงามอีกด้วยครับ ห้องพักของที่นี่จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่า โรงแรมอื่น ๆ เมื่อเทียบกับราคาที่ใกล้เคียงกัน และพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมถึงบ่อออนเซ็นแบบแยกชาย-หญิง และ สระว่ายน้ำ ครับผม
พิกัด; https://goo.gl/maps/WbKWU3ByhwT2
การเดินทาง: สามารถนั่งรถบัส Tokai มาลงป้าย Dogashima หรือ Toi Port แล้วให้รถโรงแรมมารับโดยการแจ้งล่วงหน้า
เว็บไซต์: http://www.crystal-view.jp/en/page1
Suraga Bay Ferry, Izu
เรือข้ามฟากอ่าวซุรุงะ, อิซุ
หลังจากเที่ยวจนทั่วคาบสมุทรอิซุแล้ว วาฬแนะนำให้ ใช้บริการเรือข้ามฟากอ่าวซุรุงะ เพื่อพุ่งตรงไปปิดท้ายทริปที่เมืองชิซูโอกะ (Shizuoka) เมืองเอกของจังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งใช้เวลาโดยสารรอบละ ประมาณ 70 นาที เท่านั้นครับ ข้อดีก็คือ วิธีนี้จะทำให้เราได้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิอย่างเต็มตาจากอ่าวซุรุงะ และยังได้เปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางจากการนั่งรถไฟมาเป็นลงเรือดูบ้างอีกด้วยครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/yA42xRgXBU92
การเดินทาง: นั่งจากฝั่ง IZU นั่งรถไฟ JR ลงสถานี Shuzenji แล้วต่อรถบัส Tokai ลงป้าย Toi Port
ราคา: 2,260 เยน
เว็บไซต์: https://www.dream-ferry.co.jp/en/
Chibi Maruko-chan Land, Shizuoka
จิบิ มารุโกะจังแลนด์, ชิซูโอกะ
“จิบิ มารุโกะจัง” เป็นหนึ่งใน มังงะ และอนิเมะ ชื่อดัง ที่น่าจะอยู่ในความทรงจำของแฟน ๆ ชาวไทย มากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ด้วยเพราะเสน่ห์จาก ความน่ารัก และความคิดที่ไม่เหมือนใคร ของ มารุโกะจัง เด็กหญิง ป.3 ที่เป็นตัวละครเอกของเรื่อง เรามาถึงเมือง ชิซูโอกะ ที่เป็นเสมือนบ้านเกิดของ จิบิ มารุโกะจัง ทั้งที ย่อมไม่ควรพลาดที่จะแวะไปสัมผัสกับเรื่องราวของการ์ตูนเรื่องนี้ กันที่ “ จิบิ มารุโกะจังแลนด์” พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงภาพวาดต้นฉบับของอาจารย์ โมโมโกะ ซากุระ (Momoko Sakura) ผู้ให้กำเนิด มารุโกะจัง รวมถึง โซนจำลองฉากต่าง ๆ ในเรื่องที่ทำออกมาได้น่ารักมาก ๆ เลยครับผม
โดยเฉพาะในโซนห้องเรียน ที่เราจะได้พบกับ มารุโกะจัง ออกมาถ่ายรูปคู่กับนักท่องเที่ยวกันด้วย แฟน ๆ มารุโกะจัง ห้ามพลาดเลยฮะ สำหรับในโซนของที่ระลึก ก็จัดเต็มด้วยสินค้าลวดลาย มารุโกะจัง หลากหลายชนิด ที่มีให้เลือกช้อปกันจนเพลินอย่างแน่นอนคร้าบ
พิกัด: https://goo.gl/maps/iUaR1eB55S12
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR ลงสถานี Shimizu จะมี Free Shuttle Bus จากสถานีไปที่ห้าง S-Pulse Dream Plaza โดยพิพิธภัณฑ์มารูโกะจะอยู่ที่ชั้น 3
เวลา: 10.00 – 20.00
ค่าเข้า: 600 เยน
เว็บไซต์: http://www.chibimarukochan-land.com
Maruzen Tea Roaster, Shizuoka
มารุเซ็น ที โรสเทอร์, ชิซูโอกะ
จังหวัดชิซูโอกะ เป็นแหล่งปลูกชาเขียว คุณภาพดี และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น ดังนั้น มาถึงแล้วทั้งที จะพลาดชิมชาเขียวแห่งชิซูโอกะไปได้อย่างไรจริงมั้ยครับ วาฬจึงพาทุกคนมาที่ “มารุเซ็น ที โรสเทอร์” ร้านชาชื่อดัง ที่เสิร์ฟชาเขียวให้เรา แบบชงมืออย่างปราณีตแก้วต่อแก้ว โดยไฮไลท์คือ เราสามารถเลือกระดับการคั่วของชา ได้ตามความชอบ ซึ่งจะให้รสชาติ และความเข้มข้นที่แตกต่างกัน และที่เด็ดไปกว่านั้น แถมยังขายดีมาก ๆ อีกด้วย ก็คือ เจลาโต้ (Gelato) ที่ทำจาก มัทฉะ (ผงชาเขียว) และ โฮจิฉะ (ชาเขียวคั่ว) ที่ให้เลือกระดับการคั่วได้เช่นกัน วาฬขอรับรองเลยว่าอันนี้อร่อยจริงครับผม ยังไงก็ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยฮะ
พิกัด: https://goo.gl/maps/yQRjGdm9quH2
การเดินทาง: ลง JR สถานี Shizuoka แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
เวลา: 11.00 – 19.00
เว็บไซต์: www.maruzentearoastery.com
Aoba Oden Street, Shizuoka
ถนน อาโอบะ โอเด้ง, ชิซูโอกะ
ใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อย ๆ น่าจะเคยได้ลิ้มลอง โอเด้ง จากร้านสะดวกซื้อกันมาบ้างแน่ ๆ ด้วยความหอมของ น้ำซุปดาชิร้อน ๆ และรสชาติที่กลมกล่อม ย่อมทำให้หลายคนติดใจได้ไม่ยากเลยครับ แต่ถ้าใครอยากจะชิม โอเด้ง สูตรต้นตำหรับ แบบครบเครื่องจริง ๆ แล้วล่ะก็ วาฬขอแนะนำให้รู้จักกับ “ถนน อาโอบะ โอเด้ง” แหล่งรวมร้านโอเด้ง เจ้าอร่อย โดยจุดที่ไม่เหมือนกับ โอเด้ง ตามร้านสะดวกซื้อ ก็คือ ความเข้มข้นของน้ำซุป และ ชนิดของอาหารเสียบไม้ ที่มีให้เลือกมากกว่า รับรองว่า ถูกใจคนรักโอเด้งอย่างแน่นอนคร้าบ
พิกัด: https://goo.gl/maps/ZZwP3eYUEdk
เวลา: ร้านส่วนใหญ่จะเปิดตั้งแต่ 17.00 เป็นต้นไป
แนะนำ
เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางในอิซุ วาฬแนะนำให้เลือกซื้อพาส ที่ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวที่เราจะไปนะครับ หลัก ๆ เลย ได้แก่
– สายสีแดง ชมธรรมชาติ พระอาทิตย์ตกดิน ชายหาด ถํ้า และหน้าผาโขดหินต่าง ๆ (ทั้งฝั่งตะวันตก และตะวันออก)
– สายสีเขียว ชมนํ้าตก ฟาร์มวาซาบิ และชายฝั่งตะวันออก (เน้นที่ตอนกลางของคาบสมุทร)
– สายสีนํ้าเงิน ชมภูเขาไฟฟูจิ (ฝั่งตะวันตกตอนบน)
จริง ๆ แล้วมีมากกว่านี้ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์เลยครับ
วิธีที่ดีที่สุดในการตัดสินใจว่าจะซื้อพาสอะไร ให้เริ่มจากการเลือกสถานที่ที่อยากไปมาก่อน หลังจากดูรีวิวของวาฬครบทั้ง 3 ตอนแล้ว จากนั้น จึงค่อยมาพิจารณารายละเอียดของพาสต่าง ๆ ว่าอันไหนครอบคลุมที่สุด ซึ่งจะใช้ได้กับ ทั้งรถไฟ รถบัส และเรือข้ามฟาก ซึ่งถือได้ว่าคุ้มค่ามาก ๆ ครับ
แต่หากใครมีเวลามาก และตั้งใจจะเก็บตามวาฬทั้ง 3 ตอนเลย ก็แนะนำให้ เช่ารถขับ จะสะดวก และประหยัดมากกว่าครับผม