
Shimane, Chugoku Japan
ชิมะเนะ, จูโงะกุ ญี่ปุ่น
จังหวัดชิมะเนะ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ ภูมิภาคจูโงะกุ ติดกับทะเลญี่ปุ่น ถือเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาชินโต มีศาลเจ้าชื่อดังที่ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่องความรัก เป็นที่ตั้งของปราสาทมะสึเอะ (Matsue) หนึ่งในปราสาทดั้งเดิมเพียงไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น ที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย และ เหมืองแร่เงินอิวามิ (Iwami Ginzan) ที่มีความสำคัญอย่างมากในทางประวัติศาสตร์ จนได้รับเลือกให้เป็น มรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) อีกทั้ง ยังเป็นจังหวัดที่มีแหล่งออนเซ็นระดับสุดยอด ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงสุขภาพของญี่ปุ่น เรื่องคุณสมบัติของแร่ธาตุในน้ำ ว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และผิวพรรณ อีกด้วย
การเดินทางไปยังจังหวัดชิมะเนะ:
1.จากสถานี Okayama (หากใครมาจาก Osaka ให้นั่งชินคันเซนจาก Shin-Osaka มาลง Okayama ใช้เวลา 50 นาที) จากสถานี Okayama ขึ้นรถไฟสาย Limited Express Yakumo ลงที่สถานี Matsue ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 40 นาที
2.จาก Hiroshima ใช้รถบัส Hiroshima – Matsue Hight Way Bus โดยสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแสดง Passport ลดราคาจาก 3,900 เยน เหลือ 500 เยน ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง
3.นั่งเครื่องบินภายในประเทศมาลงสนามบิน Izumo Airport โดยสารการบิน JAL

Izumo Taisha, Shimane Japan
ศาลเจ้าอิซุโมะ, จังหวัดชิมะเนะ ประเทศญี่ปุ่น
“ศาลเจ้าอิซุโมะ” ศาลเจ้าชินโตที่เก่าแก่และมีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น (เก่าจนไม่ปรากฏหลักฐานถึงปีที่สร้าง) ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ได้มาเยือนจังหวัดชิมะเนะ ล้วนเป็นต้องหาโอกาส แวะเข้ามาสักการะให้ได้สักครั้งกันทุกราย ศาลเจ้าอิซุโมะ สร้างขึ้นเพื่อบูชา เทพเจ้าโอกุนินุชิ (Okuninushi) ทั้งนี้ ตัวอาคารหลักหลายแห่งของศาลเจ้านั้น ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นอีกด้วยครับ
ศาลเจ้าอิซุโมะนั้น ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก ตามความเชื่อในศาสนาชินโต กล่าวกันว่า ทุกเดือน 10 (จันทรคติ) เทพเจ้าแทบทุกพระองค์ของประเทศญี่ปุ่น จะมาประชุมกัน ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ ดังนั้น หากใครขอพรจากศาลเจ้าอื่น ๆ ในช่วงเดือน 10 ก็จะไม่สัมฤทธิ์ผล จึงจำเป็นต้องหลั่งไหลกันมาขอพรจากศาลเจ้าอิซุโมะ กันอย่างเนืองแน่นในทุก ๆ ปีนั่นเองครับ
ในด้านสถาปัตยกรรม ต้องบอกเลยว่า สวยงาม อลังการ และทรงคุณค่าเป็นอย่างมากครับ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยหลักปฏิบัติในเชิงความเชื่อที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างไปจากศาลเจ้าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เสาโทริอิยักษ์สีขาว ซึ่งสำหรับคนที่เคร่งครัดชินโตมาก ๆ ก็จะไม่เดินลอดผ่านตรงกลางของเสา เพราะถือเป็นทางผ่านของเทพเจ้า แต่จะเลี่ยงไปใช้เส้นทางด้านข้างของเสาแทน, วิหารขอพรก่อนถึงวิหารหลัก ที่ต้องปรบมือ 4 ครั้งแทนที่จะเป็น 2 ครั้งแบบทั่ว ๆ ไป, วิหารหลัก (Honden) ที่มีความสูงมากที่สุดในบรรดาวิหารหลักของศาลเจ้าทั้งหมดในญี่ปุ่น (แต่ไม่ได้เปิดให้เข้าไปชมภายในนะครับ), และ วิหารคะงุระ (Kaguraden) ที่เด่นชัดด้วยมัดฟางขนาดใหญ่ (Shimenawa) มีความเชื่อว่า เพื่อให้ขอพรได้สมปรารถนาจริง ๆ จะต้องโยนเหรียญไปติดที่มัดฟางให้ได้ จุดนี้ ยังเป็นมุมถ่ายรูปที่ดีงาม และสื่อถึงศาลเจ้าอิซุโมะ ได้เป็นอย่างดีเลยครับ
ส่วนรูปปั้นกระต่ายที่อยู่ภายในศาลเจ้าอิซุโมะนั้น เป็นการสื่อถึงตำนานความรักระหว่าง เทพเจ้าโอกุนินุชิ และเจ้าหญิงในร่างกระต่ายที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์ไว้ ดังนั้นในอีกมุมหนึ่ง ศาลเจ้าแห่งนี้จึงเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่จะมาขอพรเกี่ยวกับเรื่อง ความรัก และความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัวด้วยครับผม
พิกัด: https://goo.gl/maps/iSMAPYCSesD2
การเดินทาง: จากสถานี JR Izumoshi นั่งรถบัสจากหน้าสถานีมาลงที่หน้าวัดใช้เวลา 25 นาที หรือ ใช้รถไฟ Ichibata ปลายทาง Matsue Shinjiko Onsen ไปลงที่สถานี Kawato แล้วเปลี่ยนขบวนที่ปลายทางไปลง Izumo Taisha Mae ใช้เวลา 22 นาที
เวลา: 6.00 – 20.00
เว็บไซต์: https://www.kankou-shimane.com/en/?cat=109

Inasa & Bemtenjima
หาดอินะสะ และศาลเจ้าเบ็นเท็นจิมะ
ถัดจากศาลเจ้าอิซุโมะ เราเดินเท้าต่อ ไปทางทิศตะวันตกอีกหน่อย หรือ ใครจะนั่งแท็กซี่ไปก็ได้ครับ ก็จะพบกับ “หาดอินะสะ” ชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น ไฮไลท์ ของที่นี่ คือ โขดหินขนาดใหญ่ ที่มองไกล ๆ เหมือนเป็นเกาะขนาดย่อม ๆ ได้เลยครับ (เดิมก็เคยเป็นเกาะจริง ๆ ครับ แต่เวลาผ่านไปนาน การทับถมของทราย ทำให้เกาะเชื่อมกับหาดไปแล้ว เหลือเพียงโขดหินเฉย ๆ) โดยบริเวณด้านบนนั้น จะมีศาลเจ้าเล็ก ๆ ตั้งอยู่ด้วย ชาวบ้านในอดีตสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพีในท้องทะเล นอกจากนี้ หาดอินะสะ ยังมีตำนานศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมโยงกับ ศาลเจ้าอิซุโมะ อีกด้วยนะครับ โดยเชื่อกันว่า จุดนี้คือประตูด่านแรก ที่ต้อนรับเทพเจ้าทั่วทั้งญี่ปุ่น ก่อนจะไปชุมนุมกันที่ ศาลเจ้าอิซุโมะ ในเดือน 10 (จันทรคติ)
พิกัด: https://goo.gl/maps/izX6upKPGw3
การเดินทาง: จากสถานี JR Izumoshi นั่งรถบัสจากหน้าสถานีปลายทาง Hinomisaki Todai มาลงที่ nasa-no-Hama 稲佐の浜(Inasa Beach)ใช้เวลา 40 นาที หรือนั่งรถบัสไปลงที่หน้าวัด Izxumo Taisha แล้วเดินต่อไปยังหาดอีกประมาณ 15 นาที ประมาณ 900 เมตร หรือ ใช้รถไฟ Ichibata ปลายทาง Matsue Shinjiko Onsen ไปลงที่สถานี Kawato แล้วเปลี่ยนขบวนที่ปลายทางไปลง Izumo Taisha Mae ใช้เวลา 22 นาที แล้วเดินต่อไปยังหาด
เว็บไซต์: http://www.izumo-kankou.gr.jp/english/4762

Shimane Winery, Izumo
โรงกลั่นไวน์ชิมะเนะ, อิซุโมะ
จากหาดอินะสะ วาฬนั่งรถไฟ ย้อนกลับมา 1 สถานี (สถานี Hamayamakoen Kitaguchi) เพื่อกินกลางวันที่ “โรงกลั่นไวน์ชิมะเนะ”ครับ เนื่องจากวาฬมาเที่ยวในช่วงฤดูหนาว ทำให้ไม่มีไร่องุ่นให้ได้ชมกัน (ไร่องุ่นเปิดให้เข้าชมช่วงเดือน เมษายน – มิถุนายน ครับ) ส่วนเมนูแนะนำที่เป็นเป้าหมายหลัก ก็คือ เซ็ตปิ้งย่าง จากวัตถุประจำท้องถิ่นอย่าง “เนื้อชิมะเนะ วากิว” (Shimane Wagyu) รสชาติดี ที่แม้ว่าจะยังไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมากนัก แต่ทางจังหวัดก็กำลังค่อย ๆ โปรโมทเพิ่มขึ้นแล้ว ยังไงก็ลองมาแวะชิม และเลือกซื้อของฝากประจำเมืองอิซุโมะกันนะครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/wnhnbMaPwGN2
การเดินทาง: จาก JR สถานี Izumoshi เปลี่ยนมานั่งรถไฟ Ichibata Electric Railway จากสถานี Dentetsu-Izumoshi ไปเปลี่ยนชบวนที่สถานี Kawato แล้วไปลงสถานี Hamayamakoen-Kitaguchi แล้วเดินต่ออีก 10 นาที หรือจาก Izumo Taisha นั่งรถแท็กซี่มาประมาณ 5 นาที
เวลา: 10.30 -18.30
เว็บ: https://www.shimane-winery.jp/wp/wp-content/themes/winery/pdf/english-2.pdf

Nima sand Museum
พิพิธภัณฑ์ทรายนิมะ
อิ่มกลางวันแล้ว เรานั่งรถไฟยาว ๆ จากเมืองอิซุโมะ ไปต่อยังเมืองโอดะ (Oda) เพื่อเยี่ยมชม “พิพิธภัณฑ์ทรายนิมะ” กันครับ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีขึ้นเพื่อจัดแสดง เรื่องราวเกี่ยวกับ “ทราย” ของจังหวัดชิมะเนะ ที่มีเนื้อละเอียดมากเป็นพิเศษ จนเวลาเดินไปสัมผัสผืนทราย จะมีเสียงดังขึ้นมาอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากความน่าสนใจของทรายแล้ว ด้านสถาปัตยกรรมของตัวพิพิธภัณฑ์ ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วยรูปทรงพีระมิดที่สวยงาม เหมาะแก่การไปถ่ายรูปเช็คอินเป็นที่สุด ภายในยังมี “นาฬิกาทรายยักษ์” ที่มีระยะเวลานับถอยหลังถึง 1 ปี เป็นไฮไลท์ ที่ควรค่าแก่การไปชมกันให้ได้อีกด้วยครับผม
พิกัด: https://goo.gl/maps/XUFmeFSY46B2
การเดินทาง: จาก JR สถานี Izumoshi นั่งสาย San – In ลงสถานี Nima แล้วเดินต่อไปอักประมาณ 10 นาที
เวลา: 9.00 – 17.00
ค่าเข้า: 700 เยน
เว็บไซต์: http://www.sandmuseum.jp/guide/

Yunotsu Onsen, Oda
ยูโนะสึ ออนเซ็น, โอดะ
ปิดท้ายวันแรกกันด้วย “ยูโนะสึ ออนเซ็น” หมู่บ้านบ่อน้ำร้อน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างดี และได้รับการยอมรับทางการแพทย์ ในด้านการบำรุงรักษาสุขภาพร่างกาย และผิวพรรณ อีกทั้งยังได้รับการโหวตจากหลายสำนักให้เป็นหนึ่งในออนเซ็นที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วยครับ บรรยากาศภายใน จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในด้านความเก่าจริงของอาคารบ้านเรือน ไม่ใช่เก่าแบบปรุงแต่ง หรือถูกสร้างออกมาให้ดูเก่าแต่อย่างใด ทำให้ร้านค้า และคาเฟ่ต่าง ๆ ที่เปิดให้บริการนั้น จึงถูกคุมโทนอยู่ในธีมย้อนยุคไปโดยปริยาย สำหรับวาฬแล้ว เมื่อเทียบกับเมืองออนเซ็นที่เคยไปมา วาฬขอแอบให้คะแนน ยูโนะสึ ออนเซ็น มากกว่าเป็นพิเศษเลยครับ
ความเจริญรุ่งเรืองของ ยูโนะสึ ออนเซ็น เมื่อครั้งอดีตนั้น เริ่มต้นจากการเป็นจุดแวะพัก บนเส้นทางการขนส่งแร่เงิน จากเหมืองอิวามิ (Iwami Ginzan) ไปยังเมืองท่าชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น ทำให้มีการตั้ง บ้านเรือน เรียวกัง และโรงอาบน้ำสาธารณะ เพื่อรองรับผู้มาเยือน และคึกคักเช่นนี้มาโดยตลอด
อีกหนึ่งไฮไลท์ของ ยูโนะสึ ออนเซ็น ก็คือ การแสดง “อิวามิคางุระ” (Iwami Kagura) ละครสวมหน้ากากร่ายรำสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีเรื่องราว อ้างอิงมาจากตำนานอันโด่งดังของศาสนาชินโต โดยเราสามารถเข้าชมได้ที่ “ศาลเจ้าทาสึโนะ โงเซ็น” (Tatsuno-gozen Shrine) เฉพาะช่วงกลางคืน (ประมาณ 2 ทุ่ม) ของวันเสาร์เท่านั้นครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/AWoFEMR5SML2
การเดินทาง: จาก JR สถานี Izumoshi นั่งสาย San – In ปลายทาง Hamada ไปลงสถานี Yunotsu ใช้เวลา 1 ชั่วโมง แล้วเดินต่อไปยัง Yunotsu Onsen ประมาณ 15 นาที หรือนั่งรถบัส (คล้ายๆรถตู้) จากหน้าสถานีไปยังออนเซ็น
เว็บไซต์: https://www.kankou-shimane.com/en/?p=685

Iwami Ginzan World Heritage Center, Oda
ศูนย์มรดกโลกเหมืองแร่เงินอิวามิ, โอดะ
“เหมืองแร่เงินอิวามิ” (Iwami Ginzan) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) โดยสถานที่ซึ่งเหมาะสมที่สุดในการบอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของเหมืองแห่งนี้ นั่นก็คือ “ศูนย์มรดกโลกเหมืองแร่เงินอิวามิ” ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเหมืองแร่เงินอิวามิ อย่างละเอียดครบถ้วน และยังทำออกมาได้น่าสนใจมากๆ อีกด้วยครับ
เหมืองแร่เงินอิวามิ เป็นเหมืองแร่เงินแห่งสำคัญที่สุดของญี่ปุ่น ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 – 20 หรือ กล่าวได้ว่าถูกใช้งานยาวนานถึง 400 ปี สร้างผลผลิตแร่เงินคุณภาพ ที่เรียกว่า เงินโซมะ (Soma) จนเป็นที่รู้จัก และส่งออกไปทั่วโลก (ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 แร่ที่ผลิต มีปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของแร่เงินทั้งโลก) นอกจากนี้ ในด้านเทคโนโลยีการทำเหมืองที่เน้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยไม่พึ่งพาวิทยาการจากตะวันตก และระบบการจัดสวัสดิการให้แก่แรงงานในเหมือง ที่มีความก้าวหน้าล้ำยุคสมัย เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อการทำงานนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นนวัตกรรมที่มีอิทธิพลต่อองค์ความรู้ในระดับโลกทั้งนั้นเลยครับ
ปัจจุบัน ตัวเหมืองแร่เงินส่วนใหญ่ เหลือเป็นเพียงซากปรักหักพัง ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ โดยจะมีแค่เพียงอุโมงค์ “ริวเง็นจิ มาบุ” (Ryugenji Mabu) เท่านั้น ที่ยังคงสมบูรณ์พอ จะให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมด้านในได้ หากใครสนใจ ต้องเดินทางต่อด้วยรถบัส จากศูนย์ ฯ ไปนะครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/PT6UA5GgryR2
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR สาย San In ลงสถานี Odashi ออกมานั่งรถบัส Iwami Kotsu ไปลงป้าย Sekai-isan Center ประมาณ 25 นาที
เวลา: 8.30 – 17.30
ค่าเข้า: 300 เยน
เว็บไซต์: https://ginzan.city.ohda.lg.jp/1750.html

Omori, Oda
หมู่บ้านโอโมริ, โอดะ
“หมู่บ้านโอโมริ” ย่านชุมชนโบราณเล็ก ๆ ที่หลบซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขา ในเขตมรดกโลกเหมืองแร่เงินอิวามิ ภายในนั้น ครบครันไปด้วย สถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายสไตล์ให้ได้เที่ยวชมกัน ไม่ว่าจะเป็น วัด ศาลเจ้า บ้านเรือนทรงดั้งเดิม ร้านค้า ตลอดจน คาเฟ่ชื่อดัง ใครที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบย้อนยุค และความเงียบสงบแล้วล่ะก็ หมู่บ้านโอโมริ คือคำตอบเลยครับ
ในหมู่บ้านโอโมริ มีร้านหนึ่งที่ วาฬอยากแนะนำมากเป็นพิเศษ นั่นก็คือ “Gungendo Cafe” สาขาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นครับ ตัวร้านนั้น เป็นคาเฟ่ ที่มีทั้ง อาหารคาว และหวาน รวมไปถึง สินค้าหลากหลายชนิดให้เลือกซื้อกัน แถมยังมีในสไตล์การตกแต่งร้านที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์อย่างมาก เหมาะสำหรับคนชอบถ่ายภาพเลยครับ ดังนั้น มื้อกลางวันนี้ วาฬเลยขอฝากท้องไว้ที่นี่ก็แล้วกันฮะ เดี๋ยวอธิบายเมนูใต้รูป

ตามภาพเมนูของวาฬ มี 3 อย่างครับ ได้แก่ ข้าวปั้น 3 ไส้, ข้าวแกงกะหรี่ผักและถั่ว และ
ข้าวราดแกงเนื้อสไตล์ญี่ปุ่น (Hayashi Rice) อิ่มอร่อยมาก ๆ ฮะ
พิกัด: https://goo.gl/maps/YZ7s4gRmsMG2
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR สาย San In ลงสถานี Odashi ออกมานั่งรถบัส Iwami Kotsu ไปลงป้าย Omori Daikanshoato ประมาณ 20 นาที

Matsue Castle, Matsue
ปราสาทมะสึเอะ, มะสึเอะ
คราวนี้ เรานั่งรถไฟกลับมาลงที่ สถานี เจอาร์ มะสึเอะ (JR Matsue) แล้วต่อบัส เพื่อไปยัง “ปราสาทมะสึเอะ” กันครับ ปราสาทแห่งนี้ เป็นหนึ่งในปราสาทดั้งเดิม ที่มิได้ถูกทำลายลงในช่วงสงคราม ที่ควรค่าแก่การมาเที่ยวชมอย่างมาก ตัวปราสาทแบ่งออกเป็น 5 ชั้น ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของเมืองมะสึเอะ ชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิวเมืองแบบ 360 องศา ที่สวยงาม ส่วนด้านนอกนั้น ทาผนังเป็นสีดำ ที่ดูเคร่งขรึม และน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ปราสาทมะสึเอะ ถือเป็นแลนมาร์คที่สำคัญของจังหวัดชิมะเนะ ใครมาถึงชิมะเนะแล้ว ต้องมาชมกันให้ได้ครับ
การล่องเรือชมปราสาทมะสึเอะ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรม ที่วาฬแนะนำทุกคนมาก ๆ เลยครับ เหตุผลหลักคือ คลองที่ใช้ล่องเรือของที่นี่ ไม่ใช่แค่สั้น ๆ หรือ วนเพียงรอบปราสาทเท่านั้น แต่ใช้เวลาถึง 40 นาทีกว่าจะครบรอบ ให้เราได้จุใจ กับการชมทิวทัศน์ของบ้านเรือนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ตลอดจน สะพานสำคัญหลายแห่ง ส่วนท่าขึ้นเรือที่สะดวกที่สุด จะอยู่ติดกับทางเข้าตัวปราสาทเลยฮะ (เรือเปิดให้บริการทุกฤดูกาลครับผม)
พิกัด: https://goo.gl/maps/CTT14UDQxtM2
การเดินทาง: จากสถานี JR Matsue ใช้เวลาเดิน 30 นาที หรือนั่งรถบัส Lake Line จากหน้าสถานีมาประมาณ 10 นาที
เวลา: 8.30 – 17.00
เว็บไซต์: https://www.kankou-shimane.com/th/destinations/matsue-castle-and-the-castle-town/

Kani Goya, Matsue
ร้านคานิ โงยะ, มะสึเอะ
มื้อเย็นของวันนี้ วาฬพาทุกคนมากินอาหารทะเลปิ้งย่าง ที่จะเปิดบริการเฉพาะในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ร้านนี้แปลกตรงที่ มีลักษณะเป็นโกดัง ข้างในจัดเป็นคล้าย ๆ ตลาดอาหารทะเลสด ให้เราเลือกหยิบ ปู หอย ปลา หรือ กุ้ง ตามชอบ ไปคิดราคาตามน้ำหนัก จากนั้นก็นำมาปิ้งกินที่โต๊ะได้เลย เป็นบรรยากาศที่แตกต่างดีครับ
พิกัด: https://goo.gl/maps/3byFRQfdLsm
การเดินทาง: จากสถานี Matsue เดินไปประมาณ 10 นาที
เวลา: 11.00 – 22.00
เว็บไซต์: https://www.kankou-matsue.jp/event_calendar/events/201801-12/201801/kanigoya2018.html

Japanese Garden @Adachi Museum of Art, Yasugi
สวนญี่ปุ่น @พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาดะจิ, ยะสุงิ
เราไปปิดท้ายทริปในวันที่ 3 กันด้วย การชมความสวยงามของสวนญี่ปุ่น ที่ได้รับรางวัลสวนญี่ปุ่นที่ดีที่สุด กันที่ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาดะจิ” สถานที่แห่งนี้ นอกจากจะมีชื่อเสียงในฐานะหอศิลป์ ที่จัดแสดงผลงานของศิลปินมากมายแล้ว ยังมีสวนญี่ปุ่นระดับรางวัลหลากหลายรูปแบบ (มีสวนภายในทั้หมด 6 แห่ง) รวบรวมไว้ให้ได้ชมกันในที่เดียวอีกด้วย โดยเพื่อคงสภาพของสวนไว้ให้ได้ตามมาตรฐานอยู่เสมอ การชมสวนจึงต้องชมผ่านห้องกระจกของพิพิธภัณฑ์เท่านั้นครับ จุดเด่นคือ ความงดงามดั่งภาพวาด ที่มีโทนสีแตกต่างกันออกไปในแต่ละฤดูกาล นับเป็นแหล่งชมสวนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งควรค่าแก่การมาชมสักครั้งมาก ๆ ครับผม
พิกัด: https://goo.gl/maps/1A8awadsG7J2
การเดินทาง: นั่งรถไฟจากเมือง Matsue มาลงสถานี Yasugi แล้วนั่งรถ Shuttle Bus ของทางพิพิธภัณฑ์ที่ด้านหน้าสถานีรถไฟ ไปต่อประมาณ 20 นาที
เวลา: 9.00 – 17.00
เว็บไซต์: https://www.adachi-museum.or.jp/en/

ติดตามข่าวสารของจังหวัด Shimane เพิ่มเติมที่ Facebook ของทางจังหวัด Shimane >> https://www.facebook.com/shimane.th/