Saga: 25 สถานที่ต้องไปในซากะ

Loading

เที่ยวซากะ

25 Places to go in Saga

25 สถานที่ที่ต้องไปในซากะ

เมื่อได้ยินชื่อ “ซากะ” ทุกคนคงต้องนึกถึง ภาพสวยๆ ในภาพยนตร์และซีรีส์ดังมากมาย (เช่น STAY ซากะ..ฉันจะคิดถึงเธอ เมื่อปี 2558) ที่ใช้ ซากะ เป็นฉากหลังของเรื่อง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ซากะ เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่สำหรับการท่องเที่ยวแล้ว วาฬเชื่อว่า หลายคนนั้น ยังขาดข้อมูลแบบจิงจังว่า ซากะ Saga ควรเที่ยวอย่างไร อยู่ตรงไหนของญี่ปุ่น มีอะไรให้เที่ยวบ้าง หรือ เที่ยวเองยากมั้ย ฯลฯ วันนี้ วาฬมีคำตอบให้สำหรับทุกคำถามครับ รับรองว่า ครบถ้วน และครอบคลุมมากกว่าแค่การตามรอยซีรีส์อย่างแน่นอน

ซากะ Saga (หรือ ซะงะ) เป็นจังหวัดเล็กๆ ในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะคิวชู คั่นกลางระหว่างจังหวัดใหญ่อย่าง ฟุกุโอะกะ และ นะงะซะกิ ทำให้ซากะถูกแย่งชิงความสนใจไปจากนักท่องเที่ยวและมักถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆที่ ในความเป็นจริงแล้ว ซากะ นั้นเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก อีกทั้ง ยังเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ของตัวตนที่ชัดเจนในเรื่องความเรียบง่ายและเป็นกันเองแบบสุดๆ ใครที่ใฝ่ฝันบรรยากาศการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ หรือ ชอบเที่ยวแต่เบื่อความวุ่นวายในเมืองใหญ่แล้วล่ะก็ ห้ามพลาดรีวิวนี้ด้วยประการทั้งปวงครับผม

นอกจาก ตัวตนที่มีเอกลักษณ์แล้ว ซากะ Saga ยังมีความพิเศษในอีกหลายด้านมากๆ เรามาดูกันดีกว่าครับ ว่ามีอะไรให้ทำกันบ้างที่ซากะ 1.ด้านศิลปะวัฒนธรรม เข้าร่วมงานเทศกาลประจำเมือง อันน่าตื่นตาตื่นใจ ได้ตลอดทั้งปี, 2.ด้านวิถีชีวิต เพลิดเพลินไปกับ การเลือกซื้อ เครื่องปั้นดินเผา เรียนรู้วิธีชงชาเขียวแบบดั้งเดิม และสัมผัสกับบรรยากาศชนบทสไตล์ญี่ปุ่นที่แสนสงบอย่างแท้จริง, 3.ด้านอาหารการกิน ชิมวัตถุดิบชั้นเลิศอย่าง ซาชิมิหมึกอิคิสึคุริ เนื้อวัวซากะ และปูทาเคะซะกิ, 4.ด้านประวัติศาสตร์ เยี่ยมชมปราสาทและโบราณสถานอันล้ำค่ามากมาย , 5.ด้านศาสนา สักการะ ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์และสัมผัสกับความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร

ทริปนี้ วาฬเลือกเช่ารถขับครับ เพราะ มีข้อดีคือ ช่วยให้เราเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวทุกที่ ได้อย่างสะดวก ลดเวลาเดินทาง ไม่ต้องกลัวพลาดจุดสำคัญ และเป็นอิสระจากตารางรถไฟ (ซึ่งรอบรถไฟที่นี่ ก็ไม่ได้มีถี่มากนัก อีกทั้งเส้นทางรถไฟก็ยังไม่ครอบคลุมเท่าไหร่ด้วยครับ) ยิ่งถ้าไปกันหลายคนด้วยแล้ว ถือได้ว่า เป็นวิธีการเดินทางที่ประหยัดและคุ้มค่ามากที่สุดเลยครับผม

สำหรับที่เที่ยวที่วาฬนำมาแนะนำทั้งหมดมี 25 ที่ดังต่อไปนี้ครับ


1.ป่าสนดำ นิจิ โนะ มัตสึบาระ (Niji no Matsubara)

ไม่ใช่แค่ป่าสนธรรมดา เพราะ ป่าสนดำ นิจิ โนะ มัตสึบาระ จัดเป็นป่าสนดำ ขนาดใหญ่ ติดอันดับ 1 ใน 3 ของป่าสนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยมีความยาวตลอดริมชายฝั่งที่ติดกับอ่าวคาราสึ ถึง 4.5 กิโลเมตร เดิมทีปลูกขึ้นเพื่อกันลมมรสุมอันรุนแรงจากทะเล จนทำลายพืชพรรณการเกษตรของชาวบ้านให้ได้รับความเสียหาย ปัจจุบัน ป่าสนดำแห่งนี้ ยังเป็นเสมือนปอดของเมืองคาราสึ เพราะภายในเต็มไปด้วยพรรณไม้เขียวขจี ที่อุดมสมบูรณ์มากๆ ยอดของต้นสนดำที่สูงใหญ่ จะมีกิ่งก้านที่โค้งเข้าหากัน และเชื่อมประสานจนกลายเป็นอุโมงค์ตามธรรมชาติ ที่นอกจากจะให้ความร่มรื่นแล้ว ยังสวยงามมากๆอีกด้วย การเที่ยวชมป่าสนดำ นิจิ โนะ มัตสึบาระ วาฬแนะนำให้เช่ารถขับ กินลม ชมวิว ชิลล์ๆ จะเป็นอะไรที่ดีงามสุดๆไปเลยครับ

พิกัด: https://goo.gl/maps/ZNTFCZe8zwK2

ที่เที่ยวsaga

2.คาราสึ เบอร์เกอร์ (Karatsu Burger)

ภายในอุโมงค์ต้นไม้ตามธรรมชาติแห่งป่าสนดำ นิจิ โนะ มัตสึบาระ (Niji no Matsubara) ยังมีร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดังประจำเมืองคาราสึ ซ่อนตัวอยู่อย่างกลมกลืน และเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่น่าค้นหา “คาราสึเบอร์เกอร์” เปิดขายมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ บ่งบอกถึงความเก๋าของเทคนิคและฝีมือพ่อครัวที่สืบทอดต่อกันมา ตัวร้านเป็นรถมินิบัสคันสีขาวแดงที่ดูมีเอกลักษณ์ เมนูยอดฮิตคือ “สเปเชียลเบอร์เกอร์” (Special Burger) ที่รวมไส้ทุกอย่างใส่ไว้ด้วยกัน โดยมีทีเด็ดอยู่ที่ ซอสสูตรพิเศษของทางร้าน ซึ่งเคลือบเนื้อไว้ได้อย่างชุ่มฉ่ำ รสชาติไม่ต้องพูดถึงครับ ดีงาม หอม และอร่อยลงตัวแบบสุดๆไปเลยฮะ

“สเปเชียลเบอร์เกอร์” (Special Burger) รวมทุกไส้ไว้ในชิ้นเดียว เมนูเด็ดของทางร้านเลยครับ

หากใครขับรถมา สามารถจอดสั่งเบอร์เกอร์ให้พนักงานมาเสิร์ฟที่รถได้เลย หรือ จะลงมานั่งกินบริเวณเก้าอี้ข้างทาง เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศของป่าสนดำแบบเต็มๆ ก็ชิลล์ไม่น้อยเลยครับ

เปิด: 10:00 – 20:00
พิกัด: https://goo.gl/maps/ZNTFCZe8zwK2

ที่เที่ยว saga

3.จุดชมวิวยอดเขาคางามิ (Kagamiyama Observation)

ในความเห็นของวาฬ ที่นี่คือจุดชมวิวที่ดีที่สุดของจังหวัดซะงะเลยครับ เราสามารถชื่นชมกับทัศนียภาพอันงดงามของเมืองคาราสึได้ทั้งเมือง โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ ภาพความยิ่งใหญ่ของพื้นที่ป่าสนดำ นิจิ โนะ มัตสึบาระ ที่ทอดตัวยาวถึง 4.5 กิโลเมตร ตลอดริมชายหาดติดกับอ่าวคาราสึ สีสันของป่าสนและผืนน้ำที่ตัดกันอย่างสวยงามนั้น ทำให้ได้วิวที่เต็มไปด้วยความพิเศษ และแตกต่างจากวิวเมืองอื่นๆ ที่เคยเห็นมาอย่างแน่นอน ใครที่มาถึงเมืองคาราสึแล้ว ต้องขึ้นมาชมให้ได้ครับผม

วิวป่าสนดำ นิจิ โนะ มัตสึบาระ จากมุมสูง ใหญ่โต อลังการมากๆ
เวลา: ตลอดเวลา
พิกัด: https://goo.gl/maps/u542sXgbicB2

4.ปราสาทคาราสึ (Karatsu Castle)

ปราสาทคาราสึ ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองคาราสึ ตัวปราสาทนั้น ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นอยู่บนเนินเขาเล็กๆใกล้กับอ่าวคาราสึ มีความเป็นมาเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะ แต่ได้ถูกทำลายลงในช่วงปฏิรูปเมจิ จนมีการสร้างขึ้นใหม่ใน ค.ศ. 1966 โดยถอดแบบตามโครงสร้างและสถาปัตยกรรมเดิมทั้งหมด ปัจจุบันภายในมี 5 ชั้น แต่ละชั้นจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ของเมืองคาราสึ และชั้นบนสุดยังเป็นจุดชมวิวเมืองที่สวยงามมากๆอีกด้วยครับ

หากมาเที่ยวในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นพฤษภาคม บริเวณปราสาทจะมีซุ้มดอกวิสทีเรีย (Wisteria) ให้เดินชมและถ่ายรูปกันด้วยนะครับ

เปิด 9:00 – 17:00
พิกัด: https://goo.gl/maps/wm7aqumRv842

5.น้ำตกมิคาเอริ (Mikaeri no Taki Falls)

น้ำตกที่สวยที่สุด ติดอันดับ 1 ใน 100 ของประเทศญี่ปุ่น มีความสูงประมาณ 20 เมตร ไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่ ช่วงเดือนมิถุนายน นักท่องเที่ยวจะได้พบกับเทศกาลดอกไฮเดรนเยีย ที่เบ่งบานอย่างพร้อมเพรียงกัน และหลากหลายสีสัน ตลอดทางเดินไปสู่น้ำตก จนถึงบริเวณจุดชมวิวน้ำตก ดอกไฮเดรนเยียเหล่านี้ จะช่วยเติมเต็มภาพของน้ำตกมิคาเอริ ให้งดงามยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวเลยครับ

พิกัด: https://goo.gl/maps/8JGnqjKajWE2

6.แหลมฮาโดะ (Hado Miyasaki)

แหลมขนาดเล็กที่ยื่นออกไปในทะเลเง็นไค (Genkai-nada) เป็นหนึ่งในฉากสวยๆ จากภาพยนตร์เรื่อง “STAY ซากะ..ฉันจะคิดถึงเธอ” ที่ควรค่าแก่การตามรอยมากๆครับ โดยไฮไลท์ของแหลมฮาโดะนั้น จะมีอยู่ 2 จุดที่สำคัญ ได้แก่ จุดแรก อนุสรณ์ปูนปั้นรูปหัวใจสีขาวสุดโรแมนติก ที่คู่รักมักนิยมมาถ่ายรูปด้วยกัน โดยเชื่อว่าจะช่วยปกปักษ์รักษาความรักให้มั่นคงและยืนยาว และ จุดที่ 2 หอสังเกตการณ์สัตว์น้ำ (Underwater Observation Tower) ที่ลึกลงไปจากระดับน้ำทะเลถึง 7 เมตร เมื่อลงไปด้านล่าง เราจะได้เห็นบรรยากาศใต้ทะเลของจริง ที่เต็มไปด้วยฝูงปลาตามธรรมชาติ ซึ่ง วาฬรับรองว่า ให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจแตกต่างจากการดูปลาในตู้กระจกอย่างแน่นอนครับผม

เวลา: 9.00 – 18.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/x8VnHnoMKBL2

saga เที่ยว

อนุสรณ์ปูนปั้นรูปหัวใจสีขาว โรแมนติกไปอีกกกก

7.ตลาดโยะบุโกะ (Yobuko Morning Market)

ตลาดเก่าแก่ ที่อยู่มานานกว่า 100 ปี และ เป็นตลาดเช้าที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น เปิดให้บริการอย่างเป็นกันเอง ท่ามกลางย่านการประมงทางตอนเหนือสุดของจังหวัดซากะ ที่นี่ เราจะได้เห็นคุณตา คุณยาย นำของทะเลสด ๆ เป็น ๆ (บางตัวหน้าตาแปลกประหลาดมากๆเลยฮะ) มาวางขายกันข้างทางอย่างคึกคัก โดยเราสามารถเลือกซื้ออาหารทะเลเหล่านี้ แล้วนำมาย่างกินกันที่ ร้านบาร์บีคิว (BBQ) ตรงกลางตลาดได้เลยครับผม (ทำเป็นซาชิมิก็ได้นะครับ บอกทางร้านเลย) สะดวกมากๆ แถมได้บรรยากาศไม่เหมือนใครอีกด้วย

วาฬแนะนำว่า เนื่องจากเป็นตลาดเช้า ให้ทุกคนมาเร็วนิดนึงนะครับ ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวาย (ก่อน 11.00น. จะดีมาก) เมนูแนะนำ ก็หนีไม่พ้น หอยซาซาเอะ (Sasae) เนื้อหวาน มีรสสัมผัสกรุบกรอบ ควรลองมากๆครับ และ อีกอย่างที่ห้ามพลาดเลย ก็คือ ข้าวเกรียบปลาหมึกแผ่นยักษ์ ร้านดัง (ใกล้ ๆ กับร้าน BBQ) ที่นำปลาหมึกสด มาทำกันแบบสด ๆ จนกลายมาเป็นข้าวเกรียบขนาดมหึมา แค่ไปดูกรรมวิธีก็อึ้งแล้วครับ เมนูที่ร้านมีภาษาไทยกำกับด้วยนะ เอาใจคนไทยสุด ๆ ไปเลยฮะ

เวลา: 7.30 -12.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/yfw7CHTowNL2

ร้านข้าวเกรียบปลาหมึกแผ่นยักษ์

8.ซาชิมิหมึกอิคิซุคุริ” ที่ ร้านคะวะทะโระ (Ika Ikizukuri @ Kawataro)

ตามที่ได้เกริ่นไว้ในตอนที่ 1 วันนี้ถึงเวลาพาทุกคนมาชิม ”ซาชิมิหมึกอิคิซุคุริ” (Ika Ikizukuri) หรือ ซาชิมิ (ของดิบ) หมึกกล้วยตัวใส ของดีประจำเมืองคาราสึ ที่หากินที่อื่นได้ยาก และที่ร้านคะวะทะโระ (Kawataro) แห่งนี้ ก็เป็นยอดฝีมือ ที่ทำเมนูดังกล่าว ได้อร่อยสุดยอดมากๆ นั่นเอง ภายในร้าน ตรงกลางจะมีบ่อพักหมึกขนาดใหญ่ เพื่อย้ำเตือนถึงความสด ที่ไม่มีอะไรจะสดไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เมนูยอดฮิตที่แทบทุกโต๊ะต้องสั่ง ก็คือ เซ็ตซาชิมิหมึกอิคิซุคุริ (Ika Ikizukuri Teishoku) สดๆ (หนวดยังขยับได้) ที่เสริฟพร้อมข้าวญี่ปุ่นร้อน ๆ และเครื่องเคียง โดยหลังจากเรากินส่วนลำตัวเสร็จแล้ว ทางร้านจะนำส่วนที่เหลือไปทำเป็น เทมปุระหมึก (Ika Tempura) ตบท้ายให้อีกด้วยครับ ส่วนรสชาติก็อร่อยมากๆ อย่างไม่ต้องสงสัย หวาน และกรอบ ด้วยความสด ไม่จำเป็นต้องจิ้มซอสอะไรเลยทั้งนั้นฮะ

เวลา: 11.40 -20.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/bHexgjo96WC2
เซ็ตซาชิมิหมึกอิคิซุคุริ (Ika Ikizukuri Teishoku) ราคา 2,700 เยน


9.ศาลเจ้าโทซัง (tozan jinja)

เนื่องจากอะริตะ เป็นเมืองแห่งเครื่องปั้นดินเผา ศาลเจ้าเก่าแก่ประจำเมือง อย่าง ศาลเจ้าโทซัง จึงมีเสาโทริอิขนาดใหญ่ที่สร้างมาจากเครื่องปั้นดินเผาสีขาว สลับการเพ้นท์ลวดลายสีฟ้าอันปราณีต ตั้งตระหง่านอยู่อย่างโดดเด่นบริเวณทางขึ้นศาลเจ้า ความพิเศษ ก็คือ โทริอิแบบนี้มีให้ชมได้เพียง 2 แห่งเท่านั้นในประเทศญี่ปุ่น (อีกแห่งอยู่ที่ ศาลเจ้าซากะ (Saga Jinja)) ดังนั้นใครที่มาถึงอะริตะแล้ว จึงไม่ควรพลาดในการมาเยี่ยมชมให้ได้สักครั้งครับ

นอกจากนี้ ระหว่างทางไปจนถึงศาลเจ้า ยังเต็มไปด้วย เครื่องปั้นดินเผา ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็น วัตถุทางศาสนามากมาย ไม่ว่าจะเป็น รูปปั้นสุนัขเฝ้ายาม, อ่างน้ำอันศักดิ์สิทธิ์, โคมไฟประดับ รวมไปถึง เครื่องรางที่เป็นเซรามิก (น่ารักมาก ๆ และไม่ซ้ำกับวัด หรือ ศาลเจ้าอื่น ๆ ด้วย) ซึ่งมีให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกด้วยนะครับ

เวลา: ตลอดเวลา
พิกัด: https://goo.gl/maps/cwS57j5XYaL2

ที่ศาลเจ้าโทซัง ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็จะเจอแต่ เครื่องปั้นดินเผา ทั้งนั้นเลยครับ

10.แกลอรี่ อะริตะ (gallery arita)

แกลอรี่ อะริตะ เป็นทั้งสตูดิโอจัดแสดงเครื่องใช้เซรามิก และคาเฟ่บรรยากาศดี ที่มีจุดเด่นเฉพาะตัวอย่างมาก ตรงที่ นอกจากการสั่งกาแฟหรือชาร้อนตามปกติแล้ว เรายังสามารถเลือกถ้วยเซรามิกจากบริเวณส่วนจัดแสดง ที่มีอยู่อย่างละลานตากว่า 2,000 ลวดลาย ให้กลายมาเป็นภาชนะใส่เครื่องดื่มแก้วพิเศษเพียงหนึ่งเดียวของเราได้ตามใจชอบอีกด้วยครับ (เฉพาะรับประทานที่ร้านเท่านั้นนะครับ) สำหรับวิธีการก็ง่ายมากเลย โดยเมื่อ สั่งเครื่องดื่ม รวมถึง เซ็ตอาหารที่มีชา/กาแฟเสริฟเคียงด้วย เรียบร้อยแล้ว ให้นำแท็ก (Tag) หมายเลขโต๊ะของเราไปใส่ในถ้วยที่ชอบ แล้วนำไปให้พนักงาน ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนครับ

นอกจากกิมมิค เรื่องถ้วยกาแฟแล้ว ความดีงามของ แกลอรี่ อะริตะ ยังอยู่ที่คอนเซ็ปต์การสนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าจะเป็น วัตถุดิบอาหาร เครื่องมือ อุปกรณ์ ของใช้ ไปจนถึง แนวคิดการตกแต่งร้านทั้งหมด ล้วนเป็นส่วนผสมอันลงตัวของวิถีชาวบ้านแห่งเมืองอาริตะแบบเพียวๆ ซึ่งได้รับการสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน เรียกได้ว่า มาร้านนี้ร้านเดียวเราจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายของเมืองอะริตะแบบเต็มๆอย่างแน่นอนครับ (รสชาติอาหารก็อร่อยมากๆด้วยนะครับ วาฬสั่งข้าวแกงกะหรี่เนื้อ ท็อปด้วยชีสอบ หอม ๆ ดีงามสุด ๆ ฮะ)

ปล. มาเที่ยวอะริตะทั้งที อย่าลืมเลือกซื้อเครื่องเซรามิกสวยๆ ติดไม้ติดมือกลับไปด้วยนะครับ ถ้าเป็นถ้วยชา กาแฟ สามารถหาซื้อจากโซนขายของในร้าน แกลอรี่ อะริตะ ได้เลยครับผม

เวลา: 9.00 -19.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/hkNssQzpiUE2

อาหารของที่นี่ ก็อร่อยใช้ได้เลยครับ ในรูป คือเมนูข้าวแกงกะหรี่เนื้อหน้าชีสฮะ

ที่เที่ยว saga

11.ศาลเจ้าทะเคะโอะ (takeo jinja)

ศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 1 พันปีแห่งนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่ ภายในเป็นสีขาวทั้งหมด แตกต่างจากศาลเจ้าในศาสนาชินโตทั่วไป ที่มักจะเน้นโทนสีแดงเป็นหลัก โดยสีขาวนั้น มาจากสีของนกกระยาง สัตว์ผู้ส่งสาส์นให้แก่ เทพเจ้าประจำศาลเจ้าทะเคะโอะครับ

มาถึง อีกหนึ่งไฮไลท์ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นก็คือ ต้นไม้ใหญ่ 2 ต้น ซึ่งมีส่วนลำต้นเชื่อมติดกัน ดูแปลกตา และสวยงามมาก ๆ โดยข้างในโพรงของต้นไม้ทั้งสอง ยังมีศาลเจ้าเล็ก ๆ ให้ผู้คนมาสักการะอีกด้วยครับ ซึ่งจากความหัศจรรย์ของธรรมชาตินี้ จึงทำให้ภาพของต้นไม้ทั้งสอง ได้กลายมาเป็นต้นแบบของ ต้นไม้ใหญ่ ในการ์ตูนเรื่อง “โทโทโร่ เพื่อนรัก” (My Neighbor Totoro) ที่ผู้คนทั่วโลกต่างตกหลุมหลงรัก นั่นเอง

ป.ล. ใน 1 ปี ทางศาลเจ้าจะเปิดให้ เข้าไปขอพร ที่โพรงไม้ได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้นครับ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะแม้ว่าจะล้อมรั้วไว้ แต่เราก็สามารถขอพรจากภายนอก หรือจะถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ ก็ยังได้มุมสวย ๆ อยู่ดีครับผม

เวลา: 9.00 – 17.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/15bcX1H7Rgz

saga

12.หอสมุดทะเคะโอะ (Takeo City Library)

หอสมุดเมืองทะเคะโอะนั้น โดดเด่นด้วยการตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ที่ผสมผสานเข้ากับกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว หอสมุดแห่งนี้ ได้รับการปรับปรุงใหม่ จากเดิมที่เคยมีคนมาใช้บริการน้อยมาก ๆ จนทุกวันนี้ กลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กประจำเมืองทะเคะโอะ ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดไปแล้วครับ ภายใน แบ่งออกเป็นหลายโซน ให้เลือกนั่งอ่านหนังสือ หรือ ใครที่กำลังมองหาหนังสือใหม่ ๆ ก็มีจุดไว้จำหน่ายอีกด้วย ส่วนคอกาแฟก็หายห่วงครับ เพราะข้างในมีร้านสตาร์บัคส์ (Starbucks) เปิดให้บริการพร้อมเลย

ซากะ saga

ป.ล. เพื่อรักษาสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวของผู้มาใช้บริการ และบรรยากาศความสงบของห้องสมุด เจ้าหน้าที่จึงได้มีการกำหนดจุดที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวไปยืนถ่ายรูปได้เอาไว้ด้วยนะครับ ซึ่งก็จะได้รูปมุมเดียวกับของวาฬเลยฮะ

เวลา: 9.00 – 21.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/qTPq3svVirv

13.ทะเคะโอะออนเซ็น (Takeo Onsen)

ปิดท้ายก่อนนอนกันที่ ทะเคะโอะออนเซ็น แหล่งออนเซ็นระดับตำนาน ที่มีประวัติศาสตร์มากว่า 1 พันปี เป็นหนึ่งใน บ่อน้ำพุร้อนที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ภายในมีออนเซ็นให้บริการหลากหลายรูปแบบ และแม้ว่า ตัวอาคารหลังดั้งเดิมจะหยุดให้บริการออนเซ็นไปแล้ว แต่ก็ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประวัติของออนเซ็นแทนครับ

ไฮไลท์อีกอย่าง คือ ซุ้มประตูทางเข้าสีแดง (ตามรูปของวาฬเลยครับ) ที่มีความโดดเด่น และสวยงามมาก ๆ ซึ่งหากเราขึ้นไปชั้นบน และสังเกตที่ภาพวาดตรงเพดานดี ๆ จะพบรูปของ สัตว์ประจำนักษัตร 4 ตัว ซึ่งเป็นตัวที่ไม่มีภาพปรากฏ อยู่ในเพดานของสถานีรถไฟโตเกียว (สถานีโตเกียวมี 8 ตัว จากทั้งหมด 12 ตัว) เนื่องจาก ผู้ออกแบบ (คนเดียวกัน) เกิดไอเดียที่ อยากให้คนเกิดคำถาม และพยายามค้นหาคำตอบว่า 4 สัตว์ประจำนักษัตรที่เหลือนั้น หายไปไหน จนตามมาดูกันถึงที่นี่นั่นเองครับ

เวลา: 6.30 – 24.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/VagFsPVZUWu

14.ศาลเจ้ายูโทคุ อินาริ (Yutoku inari Jinja)

ศาลเจ้าสุดอลังการ ติดอันดับ 1 ใน 3 ศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น “ยูโทคุอินาริ” สร้างขึ้นเพื่อบูชา “อินาริ” เทพเจ้าแห่งการกสิกรรม คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่า พระองค์มีอำนาจดลบันดาลให้ พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ตลอดจน การค้าขายเจริญรุ่งเรือง ไฮไลท์อยู่ที่ ธีมสีแดงล้วนของศาลเจ้า โดยเฉพาะที่ ศาลเจ้าหลัก ซึ่งตั้งอยู่บนแท่นไม้สีแดงยกพื้นสูง (คล้ายกับที่วัดคิโยมิสึเดระ หรือ วัดน้ำใส แห่งเกียวโต) และ ประตูโทริอิสีแดงจำนวนมาก ที่เรียงรายอยู่ตลอดทางเดินขึ้นเขา (คล้ายกับที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ แห่งเกียวโต) ไม่หมดเพียงเท่านี้ ในตัวศาลเจ้า ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกเยอะเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น จุดชมวิวจากบริเวณอาคารส่วนใน ที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของตัวเมืองคาชิมะ และทะเลอะริอะเกะได้พร้อมกัน และ ศาลเมียวบุ (Myobu) หรือ ศาลสุนัขจิ้งจอก ผู้เป็นบริวารของเทพเจ้าอินาริ ซึ่งจะคอยจดจำคำอธิษฐานของผู้คน และนำไปย้ำเตือนกับเทพเจ้าอีกครั้ง ศาลเจ้าเมียวบุ ยังถือเป็นสถานที่ ซึ่งศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ที่สุดในศาลเจ้ายูโทคุ อินาริ อีกด้วยนะครับ

ศาลเมียวบุ (Myobu) ศาลที่เก่าแก่ที่สุดใน ยูโทคุ อินาริ

ความสวยงามของศาลเจ้าแห่งนี้ การันตีจาก การได้รับเลือกให้เป็นโลเคชั่นถ่ายภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง จนเป็นที่คุ้นตาของผู้คนทั่วไปโดยเฉพาะชาวไทย สำหรับวาฬแล้ว ยูโทคุ อินาริ คือสถานที่ต้องห้ามพลาดที่สุดสำหรับทริปนี้ เรียกได้ว่า ถ้ามาเที่ยวซากะแล้วไม่ได้ไปยูโทคุ อินาริ ก็เหมือนมาไม่ถึงซากะเลยทีเดียว ดังนั้น ปักหมุดไว้เลย ต้องมาให้ได้นะคร้าบบ

เวลา: ตลอดเวลา
พิกัด: https://goo.gl/maps/5h3DLbhnP4A2

15. ศาลเจ้าโออุโอะ (Oouo Jinja)

ไฮไลท์ของศาลเจ้าเล็กๆแห่งนี้ อยู่ที่ เสาโทริอิสีแดง ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นบริเวณชายฝั่งทะเลอะริอะเกะ ห่างจากตัวศาลเจ้าประมาณ 200 เมตร เชื่อกันว่า เป็นที่สถิตของเทพเจ้าปลาแห่งท้องทะเลอะริอะเกะ ที่ได้ช่วยเหลือชาวประมงไว้ จากการประสบภัยทางทะเล ในปัจจุบัน คนพื้นเมือง จึงเชื่อกันว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนิยมมาขอพรเรื่องความรัก จากตำนานที่เทพเจ้าเคยรักษาชีวิตมนุษย์ไว้ในครั้งนั้น อันเป็นการแสดงออกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่รูปแบบหนึ่ง อีกด้วยนะครับ

แนะนำว่า ช่วงเวลาที่สวยที่สุด คือ ตอนที่น้ำขึ้นนะครับ เพราะที่นี่มีระยะต่างของระดับน้ำในช่วงน้ำขึ้นน้ำและน้ำลงมากที่สุดถึง 6 เมตรเลยทีเดียว ถ้ามาถูกเวลาเราจะได้เห็นเสาทุกต้นลอยอยู่กลางน้ำอย่างสมบูรณ์แบบ รับรองฟินสุดๆ (น่าเสียดายที่วาฬไปช่วงน้ำลง แต่ก็สวยไปอีกแบบครับผม)

เวลา: ตลอดเวลา
พิกัด: https://goo.gl/maps/eDYxSFVjFm22

16. ข้าวหน้าเนื้อปูที่ เรียวกัง โฮโยโซ (Kanimabushi @ Hoyoso Hotel)

ปูทาเคะซะกิ (Takezaki Kani) เป็นอาหารทะเลขึ้นชื่อของเมืองทาระ โดยเฉพาะเมื่อนำมาทำเป็นเมนูยอดฮิตอย่าง ข้าวหน้าเนื้อปู (Kanimabushi) สูตรต้นตำหรับประจำท้องถิ่นด้วยแล้ว เรียกได้ว่า ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยครับ ครั้งนี้ วาฬเลยจะชวนทุกคนไปชิมเมนูที่ว่ากันที่ เรียวกัง โฮโยโซ (Hoyoso) ซึ่งโด่งดังจากความสำเร็จในการรังสรรค์ข้าวหน้าเนื้อปูนี้ ให้มีความพิเศษมากขึ้นไปอีก รับรองได้ว่ารสชาติอร่อยเด็ดจนต้องอยากกลับไปกินซ้ำอีกหลายๆครั้งอย่างแน่นอนครับผม

ความพิเศษอยู่ที่ เซตข้าวหน้าเนื้อปู ที่ต้องสั่งกันทุกโต๊ะ และมีวิธีการรับประทานเพื่อให้ได้รสชาติที่แตกต่างกันถึง 4 แบบ (การกินแบบมีขั้นตอนที่พิถีพิถัน คนญี่ปุ่นเรียกว่า Omotenashi) โดยเริ่มต้นจากน้ำราดทั้ง 3 ชนิด ประกอบไปด้วย 1. Miso Kani หรือ ซอสมันปู (วาฬชอบอันนี้ที่สุด), 2. Secret Sauce ซอสสีแดงสูตรเฉพาะของทางร้าน (รสชาติหวานๆ มันๆ อร่อยดีครับ), 3. Ponzu Sauce ที่ทำจากซอสถั่วเหลืองผสมกับน้ำส้ม (รสชาติเปรี้ยวนำ) เวลากินจริงๆ ให้ตักข้าวแยกใส่ชามที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ (มีทั้งหมด 3 ใบครับ) และเริ่มชิมทีละซอส ตามลำดับเลยฮะ

ที่สำคัญ เพื่อให้ได้รับรสชาติที่ไม่ผิดเพี้ยน ระหว่างเปลี่ยนชิมน้ำราดแต่ละแบบ ให้ล้างปากด้วย ไข่ตุ่นใส่เนื้อปู ที่อยู่ในเซตสักคำสองคำด้วยนะครับ หลังจากเสร็จเรื่องซอสทั้ง 3 แล้ว ก็เข้าสู่วิธีรับประทานแบบสุดท้าย โดยให้เติมน้ำซุปร้อนๆลงไปในข้าวที่เหลืออยู่ พร้อมกับโรย งา, สาหร่าย และ อะระเระ (Araremochi: ของขบเคี้ยวที่ทำจากข้าวเหนียวผสมโชยุ) คลุกเคล้าให้เข้ากัน เป็นอันจบขั้นตอนของจานหลัก ด้วยความอร่อยแบบคล่องคอนั่นเอง จากนั้นก็มาปิดท้ายจริงๆ ด้วยของหวานในเซตอย่างพุดดิ้งเนื้อนุ่มกับชีสเค้กรสชาติกลมกล่อม ที่รับประกันความฟินอีกเช่นกันครับผม

นอกจากร้านอาหารแล้ว เรียวกังของที่นี่ก็ยังน่ามาพักมากๆอีกด้วย ไฮไลท์อยู่ที่ บ่อแช่ออนเซ็นบนดาดฟ้า ซึ่งมีวิวด้านหน้าเป็นทะเลอะริอะเกะ ที่แสนสวยงาม โดยเฉพาะในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ไปจนถึง ยามค่ำคืน ที่สามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจนอีกด้วยครับ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://web.facebook.com/flyingwhalemag/videos/1889513834392992/?fref=mentions
เวลา: 11:30 – 16:00 (เวลาร้านอาหาร)
พิกัด: https://goo.gl/maps/tYZwUpHoraw

17. บ่อน้ำพุร้อนซีโบลด์ โนะ ยุ (Siebold no yu)

บ่อออนเซ็นชื่อดังและเก่าแก่ประจำเมืองอุเระชิโนะ น้ำในบ่อแห่งนี้มาจาก อุเระชิโนะออนเซ็น ที่ได้รับการจัดอันดับว่า เป็น 1 ใน 3 ออนเซ็นเพื่อผิวสวย ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ตัวอาคารหลัก ยังมีดีที่สถาปัตยกรรมอันโดดเด่น และเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กที่สำคัญประจำจังหวัดซากะอีกด้วยครับ ภายใน นอกจากจะมีออนเซ็นแบบแช่ทั้งตัวแล้ว ยังมี อ่างแช่เท้า ในบรรยากาศผ่อนคลายสุดๆ เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด แต่อยากนั่งพักชิลล์ๆ และ ได้สัมผัสกับออนเซ็นที่เด่นเรื่องผิวพรรรณแห่งนี้สักครั้ง รับรองว่าตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอนครับผม ยิ่งไปกว่านั้น เฉพาะบริเวณอ่างแช่เท้านี้ ถือเป็นสถานที่สาธารณะ จึงเปิดให้ใช้บริการได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมงด้วยฮะ

ภายในอ่างแช่เท้าซีโบลด์ครับ
เวลา: 6.00 – 22.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/y5Csvz1HR3v

18. ศูนย์ฝึกอบรมอุตสาหกรรมชา คินซะรังคัง (Kinsarankan)

นอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้ เรื่องกระบวนการผลิตชาแล้ว ไฮไลท์ของศูนย์ฝึกอบรมแห่งนี้ ยังอยู่ที่ การเปิดให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับประสบการณ์ “ย้อมผ้าด้วยสีจากใบชา” โดยมีเจ้าหน้าที่คอยสอนวิธีการในทุกขั้นตอน เริ่มต้นตั้งแต่การต้มใบชาเก่า จากนั้นนำตะเกียบและหนังยางมามัดกับผ้าก่อนที่จะนำไปย้อมเป็นลวดลายต่างๆ จนได้มาเป็นผ้าย้อมสีจากใบชา ที่เป็นลายของเราเองผืนเดียวในโลก ติดไม้ติดมือกลับมาเป็นของที่ระลึกสุดพิเศษครับผม

ขั้นตอนการนำ ตะเกียบและหนังยางมัดกับผ้า ก่อนนำไปย้อมสีฮะ
เวลา: 8.30 -17.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/S6qdSGxqsr22

19. ซากะ ไนท์ ออฟ ไลท์ (Saga Night of Light)

อีเวนต์ โชว์แสง สี เสียง ยามค่ำคืน ด้วยการฉายภาพเคลื่อนไหวไปยังแผ่นกระจกใสบนอาคารที่ว่าการจังหวัดซากะ โดยมีเนื้อหาที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของจังหวัดซากะ ไม่ว่าจะเป็น งานเทศกาลประจำปี ไปจนถึง วิวทิวทัศน์ที่สวยงามของจังหวัด ในชั้นเดียวกันยังมีร้านอาหารเปิดให้บริการอีกด้วย เมนูเด็ดคือ ข้าวหน้าเนื้อซากะ ที่อร่อยควรค่าแก่การลองมากๆครับผม

หิวๆ พอดีต้องนี่เลยครับ ข้าวหน้าเนื้อซากะ จากร้าน ชิโนะ (Shino) บนอาคารที่ว่าการฯ ที่เดียวกับ ที่แสดง ซากะ ไนท์ ออฟ ไลท์ เลยครับผม
เวลา: 20.00 – 22.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/w9dq3t16iJR2

20.ปราสาทซากะ (Saga castle)

แม้ว่าปราสาทซากะ จะไม่ได้มีโครงสร้างที่ดูยิ่งใหญ่อลังการเทียบเท่า ปราสาทอื่นๆในภูมิภาคคิวชู แต่ก็มีความพิเศษเฉพาะตัวที่ควรค่าแก่การมาเที่ยวชมมากๆ นั่นก็คือ การที่ตัวปราสาททำจากไม้ทั้งหลัง และ ยังถือเป็นหนึ่งในปราสาทไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ในอดีตเป็นที่พำนักของไดเมียวแห่งตระกูลนาเบะชิมะ (Nabeshima-shi) ผู้ปกครองดินแดนซากะ สร้างขึ้นตั้งแต่ ช่วงปลายสมัยเอโดะ (Edo) (ราวปี ค.ศ. 1602-1611) จึงเป็นแหล่งรวบรวมและต่อยอดวิทยาการสมัยใหม่ที่สำคัญในยุคนั้น (เพราะเมืองซากะ เป็นทางผ่านระหว่าง เมืองท่านะงะซะกิ กับ กรุงเอโดะ หรือ โตเกียวในปัจจุบัน ทำให้มีชาวตะวันตกแวะเวียนผ่านมาเป็นจำนวนมาก) ไม่ว่าจะเป็น เครื่องจักรไอน้ำ, ปืนใหญ่ หรือ การยอมรับนวัตกรรมการฉีดยา จากชาติตะวันตก นั่นเอง โดยที่เห็นในปัจจุบัน เป็นปราสาทซากะที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ (ค.ศ. 2004) แทนของเดิมที่ถูกทำลายลงนะครับ

อีกหนึ่งความไม่เหมือนใครที่น่าทึ่งของปราสาทซากะ ก็คือ การออกแบบปราสาทให้มีเพียงชั้นเดียว (แตกต่างจากปราสาทของ ไดเมียวและโชกุน ในเมืองอื่นๆ ที่มักจะสูงใหญ่ ซึ่งภายในมีหลายชั้น) โดยมีแนวคิดหลัก เพื่อสะท้อนว่าผู้ปกครองไม่ปรารถนาที่จะแสดงอำนาจอยู่เหนือประชาชนของเขา แต่ต้องการให้เกิดความร่วมมือที่จะก้าวไปพร้อมๆ กัน ของคนทุกระดับชั้นในสังคม ผ่านสถาปัตยกรรมที่เข้าถึงได้ง่ายเช่นนี้

ทางเดินภายในปราสาท ออกแบบให้ดูคล้าย ลำธาร และ มีสะพานข้าม โดยเชื่อกันว่า เป็นการถือเคล็ด เรื่อง นํ้าชนะไฟ
จะสามารถป้องกันอัคคีภัยได้ เพราะในสมัยก่อนมักเกิดเพลิงไหม้บ่อยครั้ง

ใครอยากรู้รายละเอียดแบบครบถ้วน วาฬแนะนำให้ขอหูฟัง Audio Guide (ภาษาอังกฤษ) ก่อนเข้าชม ภายในอาคารที่จัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ก็จะทำให้รู้สึกอินและสนุกกับสถานที่มากขึ้นไปอีกครับ สำหรับ รอบนอกของปราสาทนั้น ยังมีซากุระปลูกไว้อีกกว่า 400 ต้น ใครที่มาเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิ พอดี จะยิ่งคุ้มค่ามากๆเลยครับผม

เวลา: 9.30 – 18.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/Qr3dEzopMF32

21.ร้านซากะ เรโทร คัง (Saga Retro Kan)

ตัวร้านอยู่บนชั้น 2 ของอาคารโรงพักเก่า ที่มีอายุกว่า 100 ปี เมนูทีเด็ดของทางร้าน คือ อาหารประจำท้องถิ่นของ จังหวัดซากะ อย่าง “ชิชิเรียน ไรซ์” (ราคา 1,300 เยน) เมนูข้าวหน้าเนื้อซากะแล่บางกำลังดี โดยตัวเนื้อนั้นผัดมากับซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน รสชาติกลมกล่อมสุดๆ แถมท็อปด้วย ไข่ดาว ซอสมายองเนส และ ผักสดพื้นเมือง กินด้วยกันทั้งหมดแล้ว ดีงามไปอีกคร้าบ

ป.ล. ก่อนกลับ อย่าลืมแวะเลือกซื้อ อาหารท้องถิ่น อื่นๆ ทั้งคาวและหวาน ที่มีวางขายอยู่ที่ชั้น 1 ด้วยนะครับผม

เวลา: 11.30 – 15.00 / 17.30 – 22.00
ราคาชิชิเรียน ไรซ์: 1,300 เยน
พิกัด: https://goo.gl/maps/T5776Uyosux

22.สถาบันชา ฮิเซน สึเซน (Hizen Tsusen Center)

เพื่อเรียนรู้และได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของการชงชา เซนฉะ (Sencha: ชงโดยให้น้ำร้อนผ่านใบชา) แบบต้นตำหรับตามธรรมเนียมดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง วาฬเลยพาทุกคนมากันที่สถาบันชา ฮิเซน สึเซน (Hizen Tsusen Center) ในตัวเมืองซากะ ซึ่งสืบทอดมากจาก หลวงพ่อ ไบซะโอะ (Baisao) ผู้บุกเบิกวิธีการชงชาที่เข้าถึงทุกชนชั้น จนได้รับการขนานนามว่า บิดาแห่งวิถีเซนฉะ (The Father of The Way of Sencha)

ประเพณีการชงชาของญี่ปุ่น ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ที่ สถาบันชา ฮิเซน สึเซน เราจะได้เข้าใจถึงความละเมียดละไมในทุกขั้นตอนของศิลปะการชงและดื่มชาเซนฉะ อย่างมีที่มาที่ไป โดยเริ่มจาก 1.นำใบชาใส่กา 2.เติมน้ำร้อนใส่ถ้วยชาของตัวเอง เพื่อตวงปริมาตร 3.เทน้ำร้อนจากถ้วยชา ไปยังถ้วยกลาง เพื่อเทใส่กาน้ำชาอีกที (เพราะเทจาก ถ้วยชาจะทำให้น้ำร้อนหกได้ครับ) 4.รินชาใส่ถ้วยของเรา และดื่มได้เลย 5.ชิมขนมท้องถิ่นของเมืองซะงะแกมกันไปกับชาร้อนๆ จากนั้น ก็กลับไปเริ่มข้อ 1-5 ได้อีก ประมาณ 2 ครั้งครับผม (ถ้ามากกว่านั้น ชาจะเริ่มจืดแล้ว)

ตบท้ายด้วยการ นำกากใบชาที่เหลือ เทออกจากกา ใส่ถ้วยแยก แล้วเติมน้ำซุปดาชิ ผสมเข้าไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกินไปด้วยกันได้เลย ทั้งกากใบชาและน้ำซุป ซึ่งจะให้รสชาติเหมือนเป็น ซุปใบชาหอมๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ

การเข้าถึงวัฒนธรรม ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์แห่งการท่องเที่ยวญี่ปุ่น วาฬเลยอยากแนะนำทุกคนที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวแถบคิวชู ให้ได้แวะมาสัมผัสกับกลิ่นอายของความเป็นพื้นบ้าน และความพิถีพิถันของภูมิปัญญาที่สืบต่อกันมา อันแสนดีงามนี้ กันที่สถาบันชา ฮิเซน สึเซน แห่งเมืองซากะกันครับ

เวลา: 9.00 -17.00
ราคา: 510 เยน ต่อ 1 เซ็ต
พิกัด: https://goo.gl/maps/F34vsoRwaeE2

23.สวนประวัติศาสตร์โยชิโนะการิ (Yoshinogari Historical Park)

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์กลางแจ้งแห่งนี้ เป็นแหล่งขุดค้นพบสิ่งปลูกสร้างและเครื่องใช้ของมนุษย์ใน ยุคยะโยะอิ (Yayoi) หรือ ชนชาติญี่ปุ่นยุคโบราณ ตั้งแต่สมัยการก่อตัวของอารยธรรม และเกิดหมู่บ้านเป็นครั้งแรก (อายุกว่า 2,000 ปี) ซึ่งส่วนใหญ่ พบได้ในเกาะคิวชูเป็นหลัก ในปัจจุบัน จึงได้จำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคนั้นขึ้นมา โดยอ้างอิงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทำให้มีความใกล้เคียงกับสภาพจริงมากที่สุด

ภายในพื้นที่อันกว้างขวางของส่วนจัดแสดง ได้แบ่งออกเป็นโซนต่างๆ เช่น ที่อยู่อาศัยของสามัญชน, บ้านโบราณของชนชั้นปกครอง, ตลาด หรือ ศูนย์กลางการค้า และ ศาสนสถาน ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีลานกิจกรรมสำหรับเด็กเล็ก รวมถึง โปรแกรมเรียนรู้การใช้ชีวิตในโยชิโนะการิอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การทดลองทำสร้อยลูกปัด, การซ้อมรำพื้นเมือง, การทดลองเล่นเครื่องดนตรี หรือ การทดลองทำเงินชั่งแบบสมัยโบราณ วาฬแนะนำว่า หากใครมีเวลาเยอะ และต้องการชมให้ทั่วทั้งสวน ควรเผื่อเวลาไว้อย่างน้อยซัก 2 ชั่วโมงนะครับ

เวลา: 9.00 -17.00
ค่าเข้า: 420 เยน
พิกัด: https://goo.gl/maps/kw7FoXcdubL2

24.สวนสตรอเบอร์รี่โทสุ (Tosu Berry Forest)

สวนสตรอเบอร์รี่ ประจำเมืองโทสุ แห่งนี้ เปิดให้เราเข้าไปเก็บสตรอเบอร์รี่สดๆ ลูกโตๆ กินกันได้ไม่อั้นในเวลา 40 นาที กับ ราคา 1,700 เยน เท่านั้น โดยที่นี่ปลูกไว้ประมาณ 5-6 สายพันธุ์ ให้ทดลองชิมกันครับ วาฬรับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน เพราะปกติแล้ว สตรอเบอร์รี่ญี่ปุ่น จะลูกโตและมีรสชาติที่ดี (กรอบและหวาน) แต่ราคาค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ดังนั้น กินแบบบุฟเฟ่ต์ แถมยังสด และ สะอาดแบบนี้ นี่แหละ ฟิน! สุดๆครับผม

เวลา: 10.00 -17.00
ราคา: 1,700 เยน ต่อ 40 นาที
พิกัด: https://goo.gl/maps/6dwPho7Q4c72

25.โทสุ พรีเมียม เอาต์เล็ตส์ (Tosu Premium Outlets)

เอาใจสายช้อป ก่อนจบทริปกันซะหน่อยครับ เอาต์เล็ตส์ขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมร้านสินค้าแบรนด์เนมกว่า 150 ร้าน เลยทีเดียว สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สามารถไปขอคูปองส่วนลดได้จากจุดประชาสัมพันธ์ ด้วยวิธีการง่ายๆแค่เพียงแสดงพาสปอร์ตให้กับเจ้าหน้าที่ แล้วก็รอรับได้เลยครับผม สำหรับคนที่ต้องติดไปกับเพื่อน แต่ไม่อยากช้อปปิ้ง ที่นี่เค้าตกแต่งได้สวยงามน่าเดินมากๆนะครับ เราสามารถไปหามุมถ่ายรูปเล่นรอเพื่อนได้สบายๆเลย

อย่าลืมมาขอคูปองส่วนลด แค่เพียงแสดงหนังสือเดินทางต่างประเทศเท่านั้นเองครับ
เวลา: 10.00 – 20.00
พิกัด: https://goo.gl/maps/RETE4ReTnsq

อ่านแบบแยกตอนเต็มๆคลิ๊กที่นี่เลยครับ

Klook.com
Klook.com (function (d, sc, u) { var s = d.createElement(sc), p = d.getElementsByTagName(sc)[0]; s.type = "text/javascript"; s.async = true; s.src = u; p.parentNode.insertBefore(s, p); })( document, "script", "https://affiliate.klook.com/widget/fetch-iframe-init.js" );